วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปลาลิงฉู่ฉี่แห้ง (ฉู่ฉี่ปลาสวาย)

ไปได้หนังสือ ตำรับอาหารพระราชวังหลวงพระบาง ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อลาวมา มีตำรับอาหารหลาย ๆ อย่างซึ่งเหมือนกับอาหารเมือง (ก็แน่ซิ อยู่ติดกันแบบนี้) และส่วนใหญ่ ทำได้โดยไม่ต้องใช้อะไรประหลาด ๆ (เช่นหัวปลาแซลมอน) ด้วย ก็เลยลองทำไปสองสามอย่างแล้ว



ทีนี้ วันก่อนไปเดินตลาด ไปเจอปลาสวายตัวกำลังน่ากิน เลยซื้อมาตัวหนึ่ง แล้วก็ทำหมกปลาลิง(ห่อหมกปลาสวาย)ไปแล้วครึ่งตัว กินได้สามวันเลยทีเดียว วันนี้ก็เลยหาอะไรทำจากปลาสวายอีก ก็เลยได้ ฉู่ฉี่ปลาสวาย หรือว่า ปลาลิงฉู่ฉี่แห้ง

วิธีทำ ก็เริ่มจากเอาปลาสวายมาหั่นเป็นท่อน 3 ชิ้น หั่นตามขวาหนาสัก 1-1.5 ซม. ล้างน้ำขยำเกลือทิ้งไว้สักพัก ก็เอาไปทอดน้ำมันพอเหลืองแห้งดี ก็เอามาขึ้นพักไว้ ต่อจากนั้น ก็เอาพริกแห้งแกะเอาเม็ดออกแช่น้ำไว้ 3 เม็ด หอมแกง (หอมแดง) 5 หัว เอามาตำให้ละเอียดในครก พอตำน้ำพริกเสร็จ ก็เอาหัวกะทิขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนแตกมัน แล้วก็เอาน้ำพริกลงไปผัดจนหอม ก็เทน้ำต้มกระดุกหมูหรือว่าน้ำเปล่าก็ได้ ใส่ลงไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็เอาปลาที่ทอดแล้วใส่ลงไปคลุกกับน้ำในกะทะ ทิ้งไว้ให้น้ำคอดลงหน่อย ก็เติมน้ำปลาตามสมควร เสร็จแล้ว ก็โรยใบมะกรูด ต้นหอมซอย แล้วก็ตักลงใส่จาย โรยพริกไทย ผักชีซอยโรยหน้า ก็เสร็จแล้วครับ

ในหนังสือจะหมายเหตุไว้ว่า อย่าให้มีน้ำมากเกินไปครับ ให้แค่ปลาได้ดูซับน้ำแล้วก็มีน้ำเลี้ยงจานนิดหน่อยครับ

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เต้าหู้หม่าผอ



ตอนอยู่ที่บอสตันทำจานนี้บ่อยมาก แต่กลับมาเมืองไทย พึ่งทำครั้งแรก แถมหาเครื่องได้ไม่ครบอีกต่างหาก

วิีธการทำ ก็เอาน้ำมันงาลงใส่ลงไปในหม้อตั้งไฟอ่อน แล้วก็เอากระเทียมลงไปเจียวนะครับ พอหอม ก็เอาหมูสับ ขิงหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วก็พริกแดงลงไปผัด อยากได้เผ็ดแค่ไหนก็ตามปริมาณพริกครับ พอหมูสุก ถ้ามีน้ำมันพริก (chili oil) หรือว่า พริกถั่ว (chili bean paste) ก็ใส่ลงไปให้น้ำมันเป็นสีแดง แล้วมีรสเผ็ดยิ่งขึ้น แต่ผมไม่มีทั้งคู่ -_-'' เลยใช้ทางเลือกสุดท้ายครับ คือ ซอสพริกศรีราชา ซึ่งมันจะไม่เผ็ดมาก และมีกลิ่นแปลก ๆ หน่อย แต่ก็พอถูไถ พอใส่น้ำมันพริก หรือว่าพริกถั่วลงไปแล้ว ก็ผัดจนพริกมันเข้ากันดี ก็เอาเต้าหู้ขาวหั่นเป็นลูกเต๋าเล้ก ๆ ใส่ลงไป ค่อย ๆ คนนะครับ เดี๋ยวเต้าหู้แตก พอเต้าหู้ซับน้ำมันดี ก็เอาขึ้นเสิร์ฟครับ

จานนี้ผมเสริฟบนพริกหวานย่างที่เหลือจากเมื่อวาน ก็อร่อยไปอีกแบบ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

น้ำดอกอัญชัญ

ดอกอัญชัญสองต้นหน้าบ้านปลูกตอนแรกนึกว่าจะไม่รอด เอาไปเอามา ตอนนี้ออกดอกบานเต็มต้นตลอดเวลา  เก็บมาชุบแป้งทอดไปสองสามครั้งแล้วก็ยังไม่หมด คราวนี้ก็เลยลองเอามาทำน้ำดอกอัญชัญดู




เก็บดอกมาสักยี่สิบดอก เด็ดขั้วสีเขียวทิ้งไป ล้างให้สะอาด


เอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟใส่ดอกลงไป ตั้งไฟไปเรื่อย ๆ จนน้ำเดือด


หรี่ไฟลงพอให้น้ำเดือดเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ คอยดูว่าดอกเริ่มเป็นสีขาว ก็ปิดไฟ รอจนเย็น กรองใส่ขวดไว้



ชงกินกับน้ำแข็ง ก็ได้กลิ่นหอมดี แต่รสจะเฝื่อนนิด ๆ ถ้าชอบหวานก็ใส่น้ำตาล


ใส่มะนาวลงไป สีจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่ได้รสชาติดีครับ

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปลานิลนึ่งใบชา


แม่ซื้อปลานิลมาทิ้งไว้ให้สองตัว ทอดกินไปตัวหนึ่งแล้ว (ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ปลามันไม่ค่อยสดแล้ว =_=) อีกตัวจะทอดอีก ก็เป็นห่วงสุขภาพตัวเอง เลยกะจะนึ่งเอาละกัน แต่ก็ไม่อยากนึ่งมะนาวหรือว่านึ่งซีอิ้วแล้ว เพราะว่าเบื่อ =_= นึกขึ้นได้ว่า มันนึ่งใบชาได้นี่นา 

วิธีการทำ ก็เอาใบชามาต้มน้ำร้อนให้มันคืนรูปกลายเป็นใบเหมือนเดิมก่อน ถ้ามีใบชาเก่าที่ต้มชาดื่มแล้ว ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีก็ต้มใหม่เลย พอใบชาคืนรูปดี ก็เอามาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ ระหว่างนั้นก็ล้างปลา ขอดเกล็ด เอาใส้ออกให้เรียบร้อย แล้วก็บั้งให้สวยงาม เอาใบชายัดลงไปในท้องปลาให้เต็ม แล้วก็เอาขึ้นไปหนึ่งจนสุก

พาปลาสุกดี ซึ่งก็ดูไม่ยาก ลองเอาตะเกียบเขี่ย ๆ ดูตรงที่เนื้อปลาติดกับก้างว่ามันเป็นสีขาวและร่อนออกจากก้างได้ดีแล้ว ก็ยกขึ้นมาพักไว้ ในถ้วยที่ใส่ปลา จะมีน้ำจากปลาอยู่ ก็เทแยกออกมา ใส่พริกไทย น้ำตาลทรายแดง และซีอิ้วขาวลงไปผสมให้ได้รสชาติ ก็เอาราดลงไปบนตัวปลา ก็เสร็จแล้วครับ :3

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Butter cake



ผมไม่เคยทำเค้กหรือว่าขนมปังจริง ๆ จัง ๆ สำเร็จมาก่อน คราวนี้ก็เลยลองทำดูครับเป็นเค้กเนยธรรมดา เพราะน่าจะทำง่ายสุด -_-''''


อันดับแรก ร่อนแป้งเอนกประสงค์​ 1 1/2 ถ้วย สักสามรอบ จะได้แป้งเนียนละเอียดดี เสร็จแล้วก็เอาเกลือ 1/2 ช้อนชา กับผงฟู 2 ช้อนชาลงไปผสมกับแป้ง คลุกให้เข้ากัน


ตีเนย 1/2 ถ้วย ให้ขึ้นฟู แล้วใส่น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย ปั่นให้เข้ากัน ตีไข่ลงไปสองฟอง กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา ปั่นให้เข้ากัน


เทส่วนผสมแป้งใส่ลงไปในส่วนผสมเนย พร้อมกับผสมนมลงไปด้วย 3/4 ถ้วย ค่อย ๆ ตีให้เข้ากัน พอเข้ากันดี ก็เอาเครื่องตีลงไปปั่นช้า ๆ ไล่ฟองอากาศ แล้วก็เทลงไปในพิมพ์ อบที่อุณหภูมิ 175C ประมาณ​ 50-60 นาที ก็กินได้

Hash browns


เดินทางไกลมาถึงบ้าน อยากหาอะไรกินเบา ๆ ก่อนนอน ค้นในตู้ เจอหัวมันฝรั่งสองสามลูกก็เลยเอามาทำ hash browns ละกัน เป็นอาหารของทางฝั่งอังกฤษครับ ทำง่าย ๆ ปกติก็ทำกินเป็นอาหารเช้า การทำก็เริ่มจากเอามันฝรั่งมาปอกเปลือกให้เรียบร้อยแล้วก็หั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ



เสร็จแล้วก็เอาแป้งมันลงไปคลุก ใส่น้ำนิดหน่อย แต่พอดีที่บ้านไม่มีแป้งมันมีแต่แป้งสาลี ก็เลยเอาแป้งสาลีใส่แทน เลยได้เนื้ออกมาประหลาดนิด ถ้ามีแป้งมันก็ใส่แป้งมันนะครับ

ก็คลุกคนสามารถปั้นเป็นก้อนหรือว่าเป็นแผ่นได้ ก็เอากะทะหรือหม้อตั้งไฟแรงปานกลาง แล้วก็เอาลงไปทอด


เสร็จแล้วก็จะได้หน้าตาประมาณด้านบนสุด โรยเกลือโรยพริกไทย กินกันชาร้อน ๆ อร่อยเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Apple crumble


แม่ให้แอปเปิลมาสองลูกและผลไม้อื่น ๆ คาดว่าคงกินไม่หมด แอปเปิลที่คิดออก ถ้าจะทำขนมก็คือทำ apple crumble กับ apple cider แต่ apple cider นี่ อีกนานกว่าจะได้กิน ก็เลยทำ apple crumble ดีกว่า ขั้นแรกก็คือ ปอกเปลือกแล้วหั่นแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ


พอเสร็จแล้ว ก็เอาแอปเปิลที่หั่นแล้ว ใส่ในชามใหญ่ ๆ ใส่น้ำตาลทรายขาวละเอียด (castor sugar) ลงไปสองช้อนโต๊ะ ใส่น้ำไปนิดหน่อย แล้วก็คลุกให้น้ำตาลเคลือบแอปเปิลจนทั่ว


พอเตรียมแอปเปิลเสร็จ ก็ผสมแป้งสาลี 3/4 ถ้วย กับอบเชย (cinnamon) บดละเอียด 1 ช้อนชา คลุกให้เข้ากัน


พอเข้ากันดี ก็ใส่เนยลงไป 100 กรัม หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ค่อย ๆ เอามือคลุกเบา ๆ ให้เนยกับแป้งคลุกติดกันเป็นก้อนเล็ก ๆ แต่ไม่ถึงกับเนียนเป็นชิ้นเดียวกัน


พอคลุกได้ที่ ก็ใส่น้ำตาลทรายแดง 1/4 ถ้วย และ breadcrumb 1/2 ถ้วย จริง ๆ ในสูตรที่ผมมี เขาให้ใส่ rolled oat (ซึ่งก็คือพวก cereal ที่กินเป็นอาหารเช้า) แต่ที่บ้านไม่มี ก็เลยใส่ breadcrumb แทน ใส่เข้าไปแล้วก็คลุกให้เข้ากัน


เตรียมส่วนผสมเสร็จแล้ว ก็เอาเนยทาพิมพ์นะครับ จริง ๆ เขาให้ใช้ชามทนความร้อนก้นตื้น แต่บ้านผมไม่มี ก็ใช้พิมพ์ทำขนมปังนั่นแหละ พอทาเสร็จ ก็เอาแอปเปิ้ลลงไปเรียง ๆ จนเต็ม


แล้วก็โรยหน้าด้วยส่วนผสมนะครับ


เอามือเกลี่ยให้เรียบดี ก็เอาเข้าเตาอบที่ 190C ประมาณ 40 นาที หรือดูว่าด้านบนมันเป็นสีน้ำตาลเข้มสวยดี ก็เอาออกมาจากเตาอบได้ กินตอนร้อน ๆ กับไอศครีมวนิลา จะอร่อยมากครับ

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

แกงผักเสี้ยงดา


ผักเสี้ยงดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีประโยชน์เยอะครับ รสชาติก็อร่อย ยอดอ่อนจะออกหวาน ส่วนที่แก่ก็จะขมหน่อย ก็แล้วแต่ชอบครับ การทำแกงผักเสี้ยงดา ก็คล้าย ๆ กับการทำแกงผักหวานครับ เพียงแต่ว่าแกงผักเสี้ยงดาไม่นิยมใส่วุ้นเส้นครับ

ขั้นตอนการทำ ก็เริ่มจากการตำน้ำพริกก่อน ก็เป็นน้ำพริกแกงมาตรฐานของทางเหนือครับ คือใส่ กระเทียม หอมแดง กับพริกแห้ง จำนวนพอ ๆ กัน (ถ้าไม่ชอบเผ็ดก็ลดพริกครับ) กะปิ เกลือ ก็ตำไปเรื่อย ๆ พอแหลก ก็เอาหม้อใส่น้ำตั้งไฟ พอน้ำเดือด ก็ใส่น้ำพริกลงไปตามด้วยปลาแห้ง ตั้งไฟไปเรื่อย ๆ จนปลานุ่ม ก็เอาผักเสี้ยงดา กับมะเขือเทศสีดาใส่ลงไป พอผักสุก ก็เสร็จแล้วครับ

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ไก่กรอบผัดพริกเกลือ

วันนี้ฝนตกหนัก ว่าจะแวะตลาดเลยไม่ได้แวะ เปิดตู้เย็นดูก็ไม่ค่อยมีอะไรกิน ก็เลยเอาของเหลือ ๆ มายำรวมกัน ได้เป็นจานนี้ออกมา จริง ๆ จานนี้อาจจะคุ้นกันในรูปของกุ้งทอดพริกเกลือครับ ที่เอากุ้งมาทอดจนกรอบแล้วเอาไปผัดกับต้นหอม พริก เกลือ หาได้ตามร้านอาหารจีนทั่วไป อันนี้ผมเอาไก่มาแทน เพราะว่าที่บ้านไม่มีกุ้ง


เครื่องปรุงที่ต้องมีก็คือ ไก่ติดมันติดหนัง ผมใช้สะโพกไก่ ถ้าใช้พวกไก่เนื้อล้วนมันจะทอดแล้วแข็งไม่อร่อย นอกจากนั้นก็มี ต้นหอมซอย พริกซอย กระเทียมสับละเอียด เกลือทะเล (อย่าใช้เกลือสินเธาว์ หรือว่า เกลือไอโอดีน มันจะเค็มจัดไป) ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ ซอสหอยนางรม และ แป้งมัน


วันนี้ผมใช้พริกสองชนิด พริกสีแดง ๆ นั่นคือพริกขี้หนูสีสวยเผ็ดจัด ใส่มากไปจะกินไม่ไหว เลยเอาพริกชี้ฟ้าเขียวมาผ่าเอาใส้ออกแล้วใส่ลงไปด้วย  


ขั้นตอนแรกก็เอาซีอิ้วขาวคลุกกับไก่เล็กน้อยไม่ให้ไก่มันจืดไป แล้วก็ใส่แป้งมันลงไปคลุกไว้ เตรียมทอด  ก็ตั้งกะทะไฟกลางพอน้ำมันเดือดดี ก็เอาไก่ลงไปทอด พอฟองอากาศที่ออกมาจากไก่หมด ก็แสดงว่าไก่สุกแล้ว (ใช้ได้กับไก่หั่นบาง ๆ เท่านั้นนะครับ ไก่ที่เป็นชิ้นใหญ่ ๆ ใช้วิธีเอาส้อมจิ้มเอาจะดีกว่า) ก็เอาขึ้นมาซับน้ำมันไว้


ถัดมา ก็เอากะทะตั้งไฟอีกรอบ แต่เป็นไฟอ่อนหน่อยครับ เอาน้ำมันใส่ลงไปไม่ต้องเยอะมาก เอากระเทียมลงไปเจียว ไม่ต้องรอให้เหลืองครับ พอให้มีกลิ่นหอมพอ ไม่งั้นใหม้ ก็เอาพริก ต้นหอมซอย ลงไปผัดกับกระเทียม 



พอเริ่มได้กลิ่นหอมของต้นหอม ก็ใส่น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำลงไปครับ ซีอิ้วดำไม่ต้องใส่เยอะ ใส่พอให้ได้กลิ่นพอ เพราะเราจะใช้รสเค็มของเกลือทะเลครับ ส่วนซีอิ้วขาวใส่ไปเยอะหน่อยเพราะจะทำซอสเหนียว ก็ผัดไปเรื่อย ๆ จนซอสเข้ากันดี ก็เอาไก่ใส่ลงไปในกะทะครับ

จังหวะนี้ถ้าใช้กะทะจีน(กะทะกลม ๆ) จะพบว่าทำได้ง่ายมากครับ แทบไม่ต้องใช้ตะหลิวเลย แค่สบัดกะทะไปมา เพราะว่าด้วยก้นที่ลึกและกลม สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในกะทะ มันจะไกลลงไปกองกันที่ก้นกะทะเอง แต่พอใช้กะทะแบนนี้ ต้องคอยเอาตะหลิวคลุกให้เข้ากันไม่งั้นก็ไม่ได้เรื่อง พอซอสเคลือบไก่หมดแล้ว ก็โรยเกลือลงไปให้เกาะด้านนอกของไก่ ก็เสร็จแล้วครับ

ซุปไก่

















เครื่องปรุงและวัตถุดิบ

1) น้ำ 4 ถ้วย
2) หัวหอมใหญ่หั่นหยาบ 1 หัว
3) มะเขือเทศ 1-2 ลูก
4) มันฝรั่ง 1 ลูก
5) แครอทครึ่งลูก
6)ไก่ 300 กรัม (7-9ปีก)
7) น้ำตาล 2 ช้อนชา
8) ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
9) เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
10) ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา




พวกผักเพิ่มได้ ยิ่งใส่เยอะยิ่งอร่อย (ในความคิดเรานะ) หัวหอมใหญ่ทำให้ซุปหวาน จะเพิ่มเป็น 2 หัวไปเลยก็ได้
**หมายเหตุ ตอนทำ เราใช้น้ำมากกว่า 4 ถ้วยนะ ประมาณครึ่งหม้อใหญ่ได้ ใส่ผักลงไปก็ 3/4 หม้อโดยประมาณ เครื่องปรุงเพิ่มจากสูตรอีกนอดหน่อย ไม่ให้จืดนัก เพราะน้ำเยอะ




1) ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ซุปไก่ก้อน (เลือกสูตรไม่มีผงชูรสนะ) ลงไป พอซุปไก่ละลาย ใส่หัวหอมหั่นชิ้นลงไป (น้ำจะหายเดือดทันตา)
2) พอน้ำเดือดอีกครั้ง ใส่ไก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ แครอทลงไป รอจนน้ำเดือด ลดไปลงเป็นไฟกลาง เกือบอ่อน ตุ๋นไปเรื่อยๆ 30 นาที
3) ใส่เครื่องปรุงลงไป ได้แก่ น้ำตาล เกลือ ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส (เราใช้ซอสภูเขาทอง หอมดี แต่ใช้แมกกี้ก็ได้นะ)
4) เคี่ยวไฟอ่อนต่ออีก 1 ชั่วโมง คอยตักฟองเลือดออกเรื่อยๆ น้ำซุปจะใสน่ากิน




ขั้นตอนและเครื่องปรุงไม่ยาก แต่เสียเวลาเคี่ยวนิดหน่อย ถ้ามีหม้อความดันล่ะก็ แปบเดียวก็ได้อร่อยแล้ว (แต่เราไม่มี)


Credit: http://www.ucancookthai.com/print-thai/th-recipes/th-curry/content-th-chicken-soup.htm


วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้าวผัดเบคอน

จานนี้เกิดจากทำเบคอนไว้ ต้องหาทางเอาไปทำของกิน แน่นอน ถ้าคิดไม่ออก ก็ต้องเอาไปทำข้าวผัด

ข้าวผัดเบคอนนี่ ไม่ต้องใช้น้ำมันเลย เพราะเบคอนก็มีมันหมูอยู่แล้ว วิธีทำก็เริ่มจากเอาเบคอนมาหั่นเป็นชิ้นสัก 1​ ซมแล้วก็เอาลงไปเจียวในกะทะ ไม่ต้องใส่น้ำมันนะครับ ค่อย ๆ เจียวไปเรื่อย ๆ น้ำมันหมูจากเบคอนมันก็จะออกมาเอง พอเบคอนเหลืองเกรียมได้ที่ ก็เอาขึ้นไว้ ในกะทะก็จะมีน้ำมันหมูอยู่ก็เอากระเทียมลงไปเจียว พอกระเทียมหอมดี ก็ใส่ข้าวสวยลงไป ข้าวที่ใช้ทำข้าวผัดนี่ ควรจะเป็นข้าวเย็นที่แห้งร่วนดีแล้วนะครับ จะได้ไม่เละ พอข้าวเริ่มแยกเม็ดดี ก็ตอกไข่ลงไป สบัดตะหลิวเร็ว ๆ ให้ไข่เคลือบข้าวไว้ แล้วก็ใส่เบคอนที่ทอดไว้ลงไปครับ ผัดจนข้าวหอม ใส่ซีอิ้วขาวลงไปหน่อยพอให้ได้กลิ่นหอม ก็ยกขึ้นมาเสริฟได้ครับ กินกับแตงกวาดองกับพริกขี้หนูก็อร่อยดี

ขอบคุณสูตรจาก http://www.dumenu.com/recipe/1094/

Roasted Garlic and Basil Pasta Sauce


ช่วงนี้เป็นช่วงล้างป่าช้า มีที่ยังไม่ได้เขียนอีกหลายจาน ต้องจด ๆ ไว้ก่อน สำหรับจานนี้เรื่องมันมีอยู่ว่า มีใบโหระพาฝรั่งที่เรียกว่า Sweet Basil อยู่ถุงหนึ่ง ซื้อมาเพราะมันลดราคา และอยากทำ Basil Sauce กินบ้าง แต่พอจะทำจริง ๆ ก็พบว่า ไม่มีเครื่องปั่น -*- แล้วคงไม่มีแรงมาตีเอง ก็เลยไปค้นบนเน็ต เจออีกซอสหนึ่ง น่าสนใจดี
วิธีทำ ก็เริ่มจากเอากระเทียมมาสัก 3-4 กลีบ ผ่าครึ่ง แล้วก็เอาไปทอดในกะทะกับน้ำมันมะกอก จนหอมใสดี ก็เอาขึนมาบดให้เละ ผมใช้ส้อมบดก็โอเคดี พอเละดี ก็ใส่กระเทียมสับสัก 3-4 กลีบ เนยที่เหลวแล้วกับน้ำมันมะกอก ขนาดพอ ๆ กันสัก 1/3 ถ้วย เกลือ พริกไทย ตามชอบ แล้วก็บดให้เข้ากัน ก็ใช้ส้อมไปแหละครับ ไม่ลำบากมาก ไม่ต้องถึงขั้นใช้เครื่องปั่น เพราะจะเละไป พอได้ที่แล้ว ก็ใส่โหระหาที่หั่นหยาบ ๆ ลงไปผสมให้เข้ากัน ระหว่างนั้นก็ต้มเส้นเอาไว้ เอาแบบ al-dente นะครับ ผมใช้เส้น liguini เพราะมีเหลืออยู่ในตู้ พอเส้นสุกดี ก็เอาลงมาผสมกับซอส แล้วก็เสิร์ฟได้เลย โรยหน้าด้วยชีสนิดหน่อยนะครับ จะได้น่ากิน

สูตรจาก thisfoodthing

ผักโขมอบชีส


วันนี้เปิดตู้เย็นหาอะไรกิน ก็พบว่าไม่มีกับข้าวเก่าเหลือแล้ว ต้องทำอะไรกินสักอย่าง =.= ค้น ๆ ดูเจอผักโขมที่ซื้อมาทิ้งไว้กะจะผัดน้ำมันหอยกิน ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเอามาอบชีสดีกว่า

ขั้นตอนก็คือเอาผักโขมไปต้มกับน้ำร้อนพอนุ่มก็เอาไปแช่น้ำเย็น ผักจะได้คงความเขียวไว้ตอนอบ พอเย็นดี ก็เอามาหั่นหยาบ ๆ เสร็จแล้ว ก็หั่นหัวหอม กับ เบคอนเอาไว้ จำนวนก็พอ ๆ กัน แล้วก็สักครึ่งหนึ่งของผักโขม 

พอเตรียมเครื่องเสร็จ ก็ตั้งไฟอ่อน เอาเนยใส่ลงไปเยอะหน่อย พอเนยละลาย ก็เอาหัวหอมลงไปผัดจนใส ตามด้วยเบคอน พอเบคอนเหลืองดี ก็โรยพริกไทย กับพวกเครื่องเทศตามชอบ แล้วก็ใส่ผักโขมลงไป ผัดไปเรื่อย ๆ จนผักโขมนุ่มดี ก็ตักใส่ถ้วยที่จะอบพักไว้ แล้วก็โรยหน้าด้วยชีส ตามสูตรเขาว่าให้ใส่ พาเมสัน เชดด้า แล้วก็ มอสซาเรลลา แต่ในตู้เย็นมีแต่พาเมสัน ก็ใส่แต่พามาสัน ใส่ไปจนมันคลุมหน้าผักโขมหมดนะครับ ระหว่างนี้ก็อุ่นเตาอบไว้ที่ 200C พอเตาร้อนได้ที่ ก็ยกถ้วยไปใส่เตาอบ ก็อบไปเรื่อย ๆ จนชีสมันเหลืองสวยดี ก็กินได้แล้วครับ

ขอขอบคุณ สูตรจาก ครัวไกลบ้าน

ตับไก่บดกับเบคอน

เรื่องมันมีอยู่ว่า ไปได้ตับไก่ราคาถูกมาก(แพคละ 3 บาท)มาจากซุปเปอร์มาเก็ต ก็เลยมีโจทย์ว่าจะเอาไปทำอะไรดี ไปค้นบนเว็บเลยไปเจอสูตร chicken liver pâté ซึ่งทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า เคยกิน และมันอร่อย แถมในตู้เย็นยังมีชีสสดที่ทำทิ้งไว้เหลืออยู่ ก็เลยค้นสูตรต่อ ไปเจอว่าไอ้ตับบดนี่ เขานิยมกินกับเบคอน ซึ่งก็เข้าล๊อคพอดีว่า มีเบคอนแบบต้มน้ำเกลือที่ทำทิ้งไว้  มันก็เลยมาเป็นอาหารจานนี้


วิธีก็เริ่มจากเอาตับไก่มาล้างให้สะอาด เอามีดหรือกรรไกรตัดไขมันออกให้หมด เสร็จแล้วก็เอาไปทอดกับน้ำมันมะกอกและกระเทียม จนตับสุกดี บางคนก็แนะนำว่า ตอนทอด ใส่พวกเหล้าบรั่นดีเข้าไปหน่อย จะหอมขึ้น แต่ก็แล้วแต่ชอบ พอสุงก็เอาขึ้นมาพักไว้ พอเย็น ก็เอาไปใส่ในเครื่องบดอาหาร พร้อมกับชีสสดหรือว่าเนย สัดส่วนก็ตามชอบครับ โดยทั่วไปก็สัดส่วนของตับไก่ต่อชีส/เนย ก็น่าจะสัก 2:1 ไม่งั้นมันจะไม่ได้รสเท่าไหร่ ใส่พริกไทยดำบด เครื่องเทศต่าง ๆ ตามชอบ ลงไป แล้วก็บดจนเป็นเนื้อเดียวกันครับ

พอบดเสร็จ ก็เอาไปเทใส่พิมพ์แล้วก็แช่ตู้เย็นทิ้งไว้สักวันสองวันให้เซ็ตตัวดี ก็เอามาตัดเป็นแผ่น ๆ คล้าย ๆ ช๊อกโกแลตครับ

สำหรับจานนี้ ก็เอาตับไก่บดที่ได้มาทอดกับน้ำมันมะกอกให้เกรียมนิดหนึ่ง จะได้หอม ๆ แล้วก็เอาเบคอนมาทอดด้วย ให้เกรียมเหมือนกัน เสร็จแล้ว ก็เอาเบคอนวาง เอาตับไก่บดวาง วางแตงกวาดองลงไป ก็เสร็จแล้วครับ จานนี้ค่อนข้างภูมิใจเพราะว่า เบคอน กับแตงกวาดองนี่ก็ทำเอง :P

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ้ว


วันก่อนไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วติดใจเมนูนี้ ก็เลยให้น้องไปหาสูตรมาให้ วิธีการทำก็ไม่ยากครับ

เครื่องปรุงที่ต้องมีก็คือ หัวปลาแซลมอนล้างให้สะอาด 1 หัว ปกติมันจะใหญ่มาก เล็งขนาดหม้อดี ๆ ละกันครับ นอกจากนั้นก็มี ซอสถั่วเหลือง (ซอสคิคโคมัน) มิริน (Mirin) น้ำตาลทราย หัวไชเท้า แครอท ต้นหอม เห็ดเข็มทอง แล้วก็ขิงครับ



วิธีการทำ ก็เริ่มจากการหั่นผักให้เป็นชิ้นพอคำ อย่าหั่นให้เล็กมากครับ พอต้มไปนาน ๆ มันจะหด ส่วนขิงก็หั่นเป็นเส้นยาว ๆ ครับ


พอเตรียมของเสร็จแล้ว ก็เอาซอสสองส่วน มิรินสองส่วน น้ำสี่ส่วน และน้ำตาลทรายหนึ่งส่วนเทลงใส่หม้อ ตั้งไฟกลางพอให้น้ำตาลทรายละลายหมด เดือดได้ที่ ส่วนผสมนี้จะทำมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหัวปลาครับ ถ้ามีหัวเดียวใหญ่ ๆ ก็หนึ่งส่วนเท่ากับครึ่งถ้วย ก็น่าจะพอ

พอเดือดดี ก็เอาขิงใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยหัวปลาครับ แล้วก็ตั้งไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ


พอหัวปลานิ่มได้ที่ เอานิ้วลงกด ๆ ดูก็ได้ครับ ก็ใส่ผักที่สุดยากลงไป ซึ่งก็คือ แครอทกับหัวไชเท้าครับ

พอแครอทกับหัวไชเท้านุ่มดี ก็ใส่เห็ดเข็มทอง กับต้นหอมลงไปครับ


พอเห็นเข็มทองเปื่อยดี ก็ยกมาเสิร์ฟได้ครับ กินกับพวกกิมจิหรือว่าขิงดองจะอร่อยมากครับ

ขอขอบคุณสูตรจาก http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/08/D6934824/D6934824.html

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชีสสด

หลายวันก่อนเพื่อน ๆ มากินข้าวกันที่บ้าน แล้วเพื่อนน้อยหน่าก็ทำ fresh cheese ให้กิน ก็เลยอยากลองทำดูบ้าง เครื่องปรุงพื้นฐานก็คือนมสด หรือว่า นมพาสเจอร์ไรท์แบบไม่พร่องมันหนึ่งลิตร ไม่ควรใช้แบบยูเอชที หรือว่าสกิมมิลค์นะครับ น้ำมะนาวสักสองลูก แล้วก็เกลือครับ

วิธีการทำ ก็เริ่มจากเอานมตั้งไฟกลาง ใส่เกลือลงไป พยายามคนบ่อย ๆ นะครับ อย่าให้ใหม้ก้น พอนมเดือด ก็หรี่ไฟนิด ให้เดือดไปสักสามสิบวินาที ก็ปิดไฟ แล้วรอให้เย็นหน่อย


พอนมอุ่นพอประมาณ ก็ใส่น้ำมะนาวลงไป คนไปเรื่อย ๆ ระหว่างนี้ นมก็จะแยกตัวกลายเป็นไขมันนมและน้ำสีเหลือง ๆ นะครับ เหมือนรูปข้างบน ก็คนไปเรื่อย ๆ จนการแยกตัวเสร็จสิ้น ก็เอาไปเทใส่ผ้าขาวบางเพื่อแยกไขมันกับน้ำนะครับ พอเทเสร็จ ก็เอาผ้าขาวบางห่อตัวไขมัน ซึ่งก็จะกลายเป็นชีสของเรา แล้วก็มัดไว้กับอะไรสักอย่าง เพื่อให้น้ำแยกออกไปได้นะครับ


จากรูป ไม่มีที่มัด ก็เลยเอาไปมัดกับก๊อกน้ำซะเลย พอมันเริ่มเย็น ก็ค่อย ๆ เอามือบีบนวด เพื่อให้น้ำออกไปเรื่อย ๆ นะครับ ถ้าอยากได้ชีสแบบนุ่ม ก็ไม่ต้องให้น้ำออกไปหมด แต่ถ้าอยากได้ชีสแบบแข็งหน่อย ก็เอาน้ำออกไปเยอะ ๆ ครับ




สุดท้าย ก็เอาชีสที่ได้ ไปใส่ไว้ในพิมพ์ ผมไม่มีพิมพ์ ก็ใช้ถ้วยกาแฟเล็ก ๆ เอา แล้วก็เอาไปแช่เย็นไว้นะครับ ไม่งั้นเสียได้ง่าย ๆ ครับ เสร็จแล้วครับ :)

ไชโป้วผัดไข่


ตอนอยู่ที่อเมริกา เมนูหนึ่งที่ไม่เคยทำสำเร็จเลยคือ ไชโป้วผัดไข่ เพราะหาไชโป้วหวานไม่ได้เลย ซื้อมากี่ถุง มีแต่ไชโป้วเค็ม หรือว่าไชโป้วหวานมันมีขายแต่เมืองไทย?

กลับเมืองไทย เลยต้องไปหาไชโป้วมาผัดกิน วิธีการทำก็เริ่มจากล้างต้นหอมไว้สักสองต้น แล้วก็เอากะทะตั้งไฟกลาง เอากระเทียมลงไปผัดพอหอม ก็เอาไชโป้วลงไปผัดให้มันกรอบเกรียมนิด ๆ สังเกตุดูจากสีจะมีสีขาว ๆ ปนบ้าง ก็เหยอะน้ำตาลลงไปหน่อยถ้าชอบหวาน แล้วก็ตอกใข่ใส่ลงไปครับ คนไปคนมาพอไข่สุกแห้งพอดี ก็โรยพริกไทย แล้วก็เสริฟได้เลย

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

แกงผักหวานใส่ปลาแห้ง



แกงผักหวานเป็นอาหารเมืองที่ผมชอบมากครับ เรียกว่ากินแทนข้าวได้เลย ด้วยรสน้ำแกงที่เข้มข้นและผักหวานป่าที่หวานสมชื่อ รวมถึงปลาแห้งที่นุ่มอร่อยครับ

วันนี้ตอนขับรถกลับบ้านเกิดอยากกินขึ้นมา เลยแวะตลาด เดินหาทั้งตลาดเจอขายผักหวานอยู่เจ้าเดียว แถมขายแพงด้วย แต่ก็ตัดใจซื้อมา แล้วก็ซื้อปลาแห้งมาอีกตัว และมะเขือเทศอีกห้าบาท อันดับแรก ก็เอาผักหวานมาล้างก่อนเลยครับ แล้วเด็ดเอาก้านแข็ง ๆ เคี้ยวยากออกให้หมด




พอล้างผักเสร็จ ก็มาตำน้ำพริกครับ น้ำพริกแกงทางเหนือจะคล้าย ๆ กันคือ ใส่กระเทียม หอมแดง กะปิ เกลือ และพริกแห้งครับ โดยสัดส่วนที่ใส่คร่าว ๆ คือ กระเทียมหอมแดงอย่างละ 4-5 หัว กะปิ เกลือ สัก 1 ช้อนชา (ประมาณข้อนิ้วก้อย) โคลกให้เข้ากัน




พอน้ำพริกละเอียดดี ก็ตั้งหม้อ เอาน้ำใส่ เอาน้ำพริกใส่ เอาปลาแห้งใส่ ตั้งให้เดือด แล้วหรี่ไฟนิด รอไปเรื่อย ๆ จนปลาแห้งนิ่มนะครับ ก็ใส่ผักหวานที่ล้างแล้ว กับมะเขือเทศหั่นซีกลงไป






พอผักนิ่มดี ก็ใส่วุ้นเส้นลงไป รอสักพัก ก็ตักใส่ชามกินได้เลยครับ :)