tag:blogger.com,1999:blog-51468133869861622902024-03-20T03:51:53.179+07:00Cooking Warriors~ coquere, ergo, sum.Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.comBlogger189125tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-45800825789011349802013-03-26T10:00:00.001+07:002013-03-26T10:05:41.845+07:00ผัดถั่วงอกเต้าหู้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-7dHn4OSUmu8/UVENG6chCAI/AAAAAAAAj-A/6vj5Ksj4T_o/s1600/20130325_193745.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-7dHn4OSUmu8/UVENG6chCAI/AAAAAAAAj-A/6vj5Ksj4T_o/s1600/20130325_193745.jpg" height="300" width="400" /></a></div>
<br />
อาหารง่าย ๆ ราคาประหยัดครับ ถั่วงอกสองกำมือใหญ่ ห้าบาท เต้าหู้เหลืองหนึ่งก้อน แปดบาท กระเทียม ต้นหอม น้ำมันพืช หมูสับ ซีอิ๊วหาเอาในครัว จานนี้กินกัน 2-3 คนอิ่ม น่าจะไม่เกินยี่สิบบาท<br />
<br />
วิธีการทำ ก็เอาถั่วงอกไปล้างก่อน ค่อย ๆ คัดเอาเปลือกเขียว ๆ ออก จะได้ไม่ระคายคอ เต้าหู้หั่นเป็นชิ้นพอคำ ซอยกระเทียม สับต้นหอมรอ เมื่อเครื่องปรุงพร้อม ก็เอากะทะใบใหญ่ ๆ ตั้งไฟแรง ใส่น้ำมันลงไป พอน้ำมันร้อน ก็เจียวกระทียม พร้อมกับใส่เต้าหู้ลงไปด้วย หมั่นพลิกเต้าหู้อย่าให้ติดกะทะ พอเต้าหู้เริ่มมีสีเหลืองจากการทอด ก็ใส่หมูสับลงไป ตามด้วยซอสหอยนางรมและซีอิ๊วดำ (ซีอิ้วหวาน) นิดหน่อย ผัดจนหมูสุก ก็เร่งไฟให้แรง แล้วรีบใส่ถั่วงอกลงไป ถ้าใครชอบถั่วงอกกรอบก็ใช้ไฟแรงผัดสักพักก็เอาขึ้นได้เลย แต่ถ้าใครชอบถั่วงอกนุ่ม ก็ใช้ไฟแรงตอนต้น แล้วค่อย ๆ หรี่ไฟลง ระหว่างนั้น ก็ใส่ซอสหอยนารมและซีอิ๊วขาวเพิ่มลงไปอีกนิดหน่อย สักพักก็ใส่ต้นหอมซอยลงไป พอถั่วงอกได้ที่แล้วก็ปิดไฟ ตักใส่จานได้เลยครับ<br />
<br />
บางบ้านจะใส่วุ้นเส้นด้วย กลายเป็นอาหารที่ทำจากเครื่องปรุงที่มาจากถั่วถึง 5 ชนิดด้วยกันนะครับ :)Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-15065063928758364752013-03-21T23:38:00.000+07:002013-03-22T09:22:32.303+07:00คั่วจิ้นส้ม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-9iBLs-r7A7E/UUsmCT-qIkI/AAAAAAAAj3U/EmfT3Hd94EM/s1600/459772_10150711888534582_1762322018_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-9iBLs-r7A7E/UUsmCT-qIkI/AAAAAAAAj3U/EmfT3Hd94EM/s1600/459772_10150711888534582_1762322018_o.jpg" height="400" width="300" /></a></div>
<br />
<br />
คั่วเป็นการทำอาหารทางเหนือที่คล้ายกับการผัด ส่วนจิ้นส้มก็เป็นคำเรียกแหนมในภาษาเหนือ ซึ่งแหนมเป็นวิธีถนอมอาหารที่ให้การหมักให้เปรี้ยวโดยใช้ข้าวและน้ำตาล ซึ่งรสเปรี้ยวนั้นมาจากเชื้อจุลินทรีย์กลุ่มแบคโตบาซิลลัส ดังนั้นการรับประทานแหนม ต้องทำให้สุกก่อน และแหนมมีอายุการเก็บที่ไม่นานมาก โดยถ้าเก็บในตู้เย็นจะอยู่ได้ประมาณหนึ่งเดือน แต่ถ้าเก็บนอกตู้เย็นก็จะอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ คำว่าจิ้นส้มนั้น จิ้มก็แปลว่าเนื้อ ส้มแปลว่าเปรี้ยวครับ<br />
<br />
คั่วจิ้นส้มก็คือการเอาแหนมมาผัดกับไข่ วิธีการทำก็เริ่มจากการเจียวกระเทียมในน้ำมันพืชให้หอม เสร็จแล้วก็ยีแหนม แล้วจึงนำแหนมลงไปผัดให้สุก ใส่หอมหัวใหญ่ที่หันซอยแล้ว ตามด้วยวุ้นเส้น ผัดให้เข้ากัน สุดท้าย ตอกไข่ไก่ลงไป ยีไข่ให้ไข่แดงแตกแล้วผัดให้เข้ากับแหนม สุดท้าย เมื่อไข่สุก ใส่พริกชี้ฟ้า และต้นหอมหั่นลงไป บางบ้านก็จะใส่กระเทียมดองด้วย พอสุกก็ปิดไฟ รับประทานได้ครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-49253256381870223882013-03-18T09:00:00.001+07:002013-03-18T09:00:10.674+07:00มันต้มขิง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-Xcdl1qFcZdU/UUZyDDWAjzI/AAAAAAAAjso/2zJj9lMU_7c/s1600/20130213_221956.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-Xcdl1qFcZdU/UUZyDDWAjzI/AAAAAAAAjso/2zJj9lMU_7c/s1600/20130213_221956.jpg" height="300" width="400" /></a></div>
<br />
น้ำขิงมีสรรพคุณทางยาช่วยขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยย่อย และยังช่วยลดความดันอีกด้วย แต่ความเผ็ดของน้ำขิงก็ทำให้หลายคนไม่กล้ากิน ทางหนึ่งที่ทำได้ก็คือเอาไปทำอาหารหรือของหวานครับ ซึ่งมันต้มขิงก็เป็นของหวาน(?)ที่ทำง่ายมาก วิธีการทำก็เอาขิงแก่มาฝานเอาเปลือกออกให้หมด แล้วล้างให้สะอาด เสร็จแล้วก็หั่นให้เป็นแผ่นหนาประมาณสักครึ่งเซ็นติเมตร สำหรับมันก็ใช้มันเทศหรือว่ามันฝรั่งก็ได้ครับ แต่มันเทศจะอร่อยหวานกว่ามันฝรั่ง หั่นมันให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดสักหนึ่งนิ้ว เมื่อเตรียมเสร็จแล้ว ก็เอาหม้อตั้งไฟใส่น้ำให้เดือด ใส่เกลือลงไปนิดหนึ่ง ใส่ขิงและมันลงไป ต้มไปเรื่อย ๆ จนมันนุ่ม วิธีการทดสอบก็ลองเอาทัพพีหยิกลงไปในเนื้อมันครับ ถ้าหยิกลงไปได้ง่าย ก็แสดงว่านุ่มดีแล้ว ก็ใส่น้ำตาลทรายแดงลงไปตามชอบ แต่อย่าให้หวานมากครับ พอน้ำตาลละลายหมดดีก็ปิดไฟ ยกลงได้Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-3239456607904623132013-03-18T07:16:00.000+07:002013-03-18T08:29:08.756+07:00กุ้งอบวุ้นเส้น<img src="http://farm3.static.flickr.com/2125/1642738637_6d36c56c1f.jpg" height="425" width="640" /><br />
<br />
วิธีทำ ก็เริ่มจากเอาวุ้นเส้นมาแช่น้ำไว้(ไม่ต้องตัด) พอวุ้นเริ่มนุ่ม ก็เอาหม้อใส่น้ำตั้งไฟ แล้วใส่ซุปก้อนลงไป ถ้ามีซุปกุ้งก็ใช้ซุปกุ้ง ถ้าไม่มี ก็ใช้ซุปไก่ เสร็จแล้ว ก็เอาหม้อดินมา ถ้ามีมันหมูแข็ง ก็หั่นบาง ๆ ลงไปวางเรียงไว้ที่ก้นหม้อ แล้วก็ซอยขิงและหั่นกระเทียมลงไปจนเต็มก้นหม้อ แล้วก็โรยพริกไทยลงไปเยอะ ๆ ถ้ามีรากผักชีก็จะดีมาก เทน้ำซุปลงไปนิดหน่อยพอให้ท่วมก้น เสร็จแล้วก็เอาหม้อดินขึ้นตั้งไฟ แล้วก็แกะกุ้งไปด้วย พอน้ำซุปก้นหม้อดินเริ่มเดือด ก็เอาช้อนคนจนเริ่มมีกลิ่นหอมลอยขึ้นมา ก็เอากุ้งลงไปวางเรียง ๆ แล้วก็เทวุ้นเส้นและน้ำซุปลงไปในหม้อดิน เทซีอิ้วดำลงไปนิดหน่อย แล้วก็คนไปคนมาสักพัก แล้วก็เอาฝาปิด เร่งไฟให้แรง คอยสังเกตุไอน้ำที่ออกมาจากฝา พอไอน้ำเริ่มหาย ก็หรี่ไฟแล้วเปิดฝามาดูว่าวุ้นเส้นเริ่มแห้งหรือยัง พอแห้ง ก็โรยหน้าด้วยผักชี แล้วก็กินได้เลยAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-71806539293243855272013-03-14T19:20:00.000+07:002013-03-14T19:20:40.685+07:00เจี๋ยวไข่ใส่เต้งมดส้ม <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-7R9nkZUgqUY/UUCLkk-lXDI/AAAAAAAAjnA/dQrvaPK3iYs/s1600/858138_10151354503839582_2127862528_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://2.bp.blogspot.com/-7R9nkZUgqUY/UUCLkk-lXDI/AAAAAAAAjnA/dQrvaPK3iYs/s400/858138_10151354503839582_2127862528_o.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
เจี๋ยวเป็นวิธีการทำอาหารแบบง่ายและเร็วของคนเมือง หลักใหญ่ๆคือการเอาหม้อใส่น้ำตั้งไฟให้เดือดใส่หอมแดงลูกเล็ก ๆ กะปิ เกลือ หรือปลาร้านิดหน่อย แล้วก็ใส่ผักสดและไข่ลงไปพอไข่สุกก็ยกขึ้น กินได้เลย<br />
<br />
สำหรับเจี๋ยวไข่ใส่เต้งมดส้มน้ำ ส่วนสำคัญคือ เต้งมดส้ม หรือว่าไข่มดแดง โดยเฉพาะในหน้าร้อนไข่มดแดงจะสวยน่ากินที่สุด เพราะมีทั้งไข่อ่อนอันโตๆ และบางทีก็มีมดแดงที่เพิ่งออกจากไข่ด้วย ซึ่งถ้าไปซื้อไข่มดแดงมาจากตลาดแล้วก็เอามาล้างให้สะอาดและพักไว้ ระหว่างนั้นก็เอาหม้อใส่น้ำตั้งไฟให้เดือด ใส่หอมแดงทุบสัก 2-3 ลูก กะปินิดหน่อย พริกแห้ง มะเขือเทศลูกเล็กหั่นซึก ต้นหอม ผักชีลงไป แล้วก็ตีไข่ไก่ให้ไข่แดงกับไข่ขาวเข้ากัน เทไข่มดแดงลงไปในไข่ไก่ ผสมให้เข้ากันแล้วก็เทลงไปในหม้อ คนสักพักพอไข่ไก่สุกดี ก็ปรุงรสด้วยน้ำปลา ก็ยกลงได้เลยครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-18260275580658433352013-03-13T21:07:00.001+07:002013-03-13T21:16:31.610+07:00แกงผักพ่อค้าตีเมีย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-gAm80G-Zgzo/UUCEAWcG1gI/AAAAAAAAjmw/M51IuXkIGg0/s1600/P3135039.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://1.bp.blogspot.com/-gAm80G-Zgzo/UUCEAWcG1gI/AAAAAAAAjmw/M51IuXkIGg0/s400/P3135039.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
ผักพ่อค้าตีเมีย หรือ ผักกับแก้ เป็นผักในตระกูลเฟิร์นขนาดเล็กพบมากในป่าที่มีความชื้นสูงและมีอุณหภูมิที่เย็น จึงพบมากในแถบภาคเหนือ ลักษณะเด่นคือมีก้านที่กรอบ ซึ่งไม่ว่าจะแกงนานแค่ไหนก็ตาม ก้านก็จะคงความแข็งกรอบอยู่เสมอ สำหรับชื่อพ่อค้าตีเมียมาจากตำนานที่ว่า มีพ่อค้าคนหนึ่งเดินทางกลับบ้านพร้อมกับความหิว ในครัวไม่มีอาหารอะไรเลย ภรรยาจึงเก็บผักนี้มาต้มให้กิน ยิ่งต้มนาน พ่อค้าก็ยิ่งหิว เมื่อภรรยาเอาแกงผักนี้มาให้กิน พ่อค้าก็โกรธเพราะว่าคิดว่ายังผักไม่สุกดี จึงเอาไม้ตีเมียด้วยความโกรธผสมกับความหิว จึงเป็นที่มาของชื่อผักพ่อค้าตีเมีย<br />
<br />
สำหรับวิธีทำแกงผักพ่อค้าตีเมียก็เริ่มจากการเตรียมพริกแกง โดยการโขลกกระเทียม หอมแดง กะปิ พริกแห้ง และเกลือเข้าด้วยกัน โขลกจนละเอียด ระหว่างนั้นก็ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด ใส่พริกแกงลงไป พอน้ำเดือดอีกครั้ง ก็ใส่ปลาแห้งลงไป รอจนปลาแห้งสุกนิ่มดี ก็ใส่เห็ดนางฟ้าและเห็ดหูหนูที่ล้างจนสะอาดแล้ว สักพักก็ใส่ผักพ่อค้าตีเมียลงไปในหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ จนยอดของผักพ่อค้าตีเมียนุ่มดี ก็ใส่มะเขือเทศลูกเล็กและชะอม คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้จนชะอมสุก ก็ปิดไฟ ปรุงรสด้วยน้ำปลานิดหน่อยครับ<br />
<br />
ลักษณะเด่นของผักพ่อค้าตีเมียก็คือ เมื่อแกงสุกแล้ว ยอดจะนุ่ม ในขณะที่ก้านยังกรอบ เคี้ยวสนุกครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-44845888479874782622013-03-09T08:30:00.000+07:002013-03-13T21:41:17.825+07:00หอยทอด<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-UTjy5w9SG3U/TvsI-PTriqI/AAAAAAAAQao/6gnfjt1a7IQ/s1600/PC281707.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://3.bp.blogspot.com/-UTjy5w9SG3U/TvsI-PTriqI/AAAAAAAAQao/6gnfjt1a7IQ/s400/PC281707.JPG" width="400" /></a>
</div>
หอยทอดเป็นอาหารที่ทำไม่ยาก ใช้เครื่องปรุงไม่เยอะ สิ่งที่ต้องมีก็คือ หอยแมลงภู่ แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน(หรือว่าแป้งเท้ายายหม่อม) ไข่ และ ถั่วงอก วิธีทำก็เริ่มจากผสมแป้งข้าวเจ้าสองส่วน แป้งมันหนึ่งส่วน และน้ำเย็นจัดหนึ่งส่วนเข้าด้วยกัน แล้วคน ๆ ให้แป้งผสมเข้ากับน้ำ ถ้าน้ำน้อยไป ก็เติมน้ำอีกนิดหน่อยได้ เสร็จแล้ว เอาหอยไปต้มให้สุก พยายามเปลี่ยนน้ำหลาย ๆ ครั้ง หอยจะได้ไม่มีกล่ิน พอหอยสุก ก็เอากะทะแบน ๆ ตั้งไฟแรง ๆ แล้วเทน้ำมันลงไป พอน้ำมันเริ่มเป็นไอ ก็เทน้ำแป้งลงไปบนกะทะ พอแป้งเริ่มแห้ง ก็โรยหอยลงไป แล้วก็ตอกไข่ใส่ลงไป พอไข่เริ่มสุก ก็พลิกเอาด้านบนลงไปทอดบ้าง ขณะเดียวกัน ก็เอาถั่วงอกลงไปไปกะทะ พลิกกลับไปกลับมาเร็ว ๆ พอแป้งเริ่มเกรียมกรอบ ถั่วงอกเริ่มใหม้ ก็เอาขึ้นใส่จานได้<br />
<br />
วิธีทำน้ำจิ้ม ถ้าขี้เกียจ ก็ใช้ซอสศรีราชา แต่ว่ามันจะเผ็ดนิดหน่อย ถ้าอยากทำน้ำจิ้มแบบไม่เผ็ดมาก ก็เอาซอสศรีราชาผสมกับน้ำส้มสายชูนิดหน่อย น้ำตาล และน้ำปลา ผสม ๆ ให้เข้า ๆ กัน ก็เสร็จแล้วAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-55972365776754366832013-03-03T10:31:00.001+07:002013-03-03T10:33:56.983+07:00มอกปลาลิง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-07FfdIe1QTs/UTK_COXlIUI/AAAAAAAAjZw/fDc1aOkzPbs/s1600/460760_10150850649229582_1082849426_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://1.bp.blogspot.com/-07FfdIe1QTs/UTK_COXlIUI/AAAAAAAAjZw/fDc1aOkzPbs/s400/460760_10150850649229582_1082849426_o.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
สูตรมอกปลาลิงนี้ ได้มาจากหนังสือ <a href="http://www.bflybook.com/BookDetail.aspx?CategoryID=0&SortID=0&PageNumber=6&CoverDesignID=227">ตำรับอาหารพระราชวังหลวงพระบาง</a> ของ เพียสิง จะเลินสิน นะครับ มีสูตรอาหารที่น่าสนใจอยู่หลายสูตรทีเดียว บางอย่างก็คงหาทำหากินยากมาก เช่น ขาฟานปิ้ง เพราะไม่รู้จะไปหาฟานมาจากไหน<br />
<br />
สำหรับมอก คือการเอาอาหารที่ห่อใบตองไปใส่หวดหรือลังถึงนึ่งจนสุก ซึ่งก็คล้าย ๆ กับห่อหมกทางภาคกลาง หรือว่า ห่อนึ่งทางภาคเหนือนั่นเอง ส่วนปลาลิง ก็เป็นปลาพันธุ์หนึ่งในสกุลปลาสวาย ซึ่งตอนทำจริง ๆ ก็ใช้ปลาสวายหรือว่าปลาดุกทำนะครับ<br />
<br />
วิธีการทำก็เริ่มจากเอาส่วนท้องปลาที่มีมันเยอะ ๆ กับส่วนท่อนหาง เอามาตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 2-3 นิ้วมือ แล้วก็ค่อย ๆ หั่นตับปลาให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นกัน ล้างน้ำให้สะอาด พักไว้ ระหว่างนั้นก็ไปเตรียมน้ำพริก ใช้ตะไคร้ 2 หัว พริกแห้งแช่น้ำจนเปื่อย 1 เม็ด หอมแกง(หอมแดง) 6 หัว รากผักชี 2-3 ต้น ตำในแหลกละเอียดเข้ากันดี<br />
<br />
เมื่อเตรียมเครื่องไว้ครบแล้ว ก็เอาน้ำพริกไปคลุกับเนื้อปลา โรยเกลือ และน้ำปลานิดหน่อย ใส่น้ำพอให้ไม่แห้งมาก เอานิ้วแตะ ๆ ชิมดูว่าเค็มได้ที่หรือยัง เมื่อได้ที่แล้วก็ใส่ใบต้นหอมซอยและใบแมงลักลงไป คลุกให้เข้ากัน แล้วห่อด้วยใบตอง เอาไม้กลัดกลัดไว้ เอาเอาไปนึ่งให้สุก เมื่อสุกดี ก็เอามาเปิดใส่จานโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย รับประทานกับข้าวร้อน ๆ อร่อยมากครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-18577368517818897692013-02-26T17:00:00.000+07:002013-02-26T20:45:02.063+07:00พะแนงกุ้งห่อไข่<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-U625psYfvkk/USy8S1Vwr0I/AAAAAAAAjPY/JbVHumqhwUs/s1600/781587755_1d0eeb7053.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="266" src="http://4.bp.blogspot.com/-U625psYfvkk/USy8S1Vwr0I/AAAAAAAAjPY/JbVHumqhwUs/s400/781587755_1d0eeb7053.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
อาหารจานนี้จริง ๆ แล้วเป็นอาหารที่ทำง่าย และ เร็วมากด้วย สิ่งที่ต้องมีก็คือ กุ้ง ไข่ น้ำพริกพะแนง พริก ใบมะกรูด น้ำปลา และ ต้นหอม<br />
<br />
<b>วิธีทำ</b> ก็เริ่มจากเอากุ้งมาผ่าหลังเอาเส้นสีดำ ๆ แต่ไม่ต้องเอาเปลือกออก เสร็จแล้วก็เอาหม้อเล็ก ๆ ตั้งไฟ ใส่น้ำลงไปนิดหนึ่ง เสร็จแล้ว ก็โรยเกลือลงไป แล้วก็ใส่กุ้งลงไป ปิดฝา แล้วก็คอยเขย่าหม้อไม่ให้กุ้งใหม้ติดก้นหม้อ พอกุ้งสุก และแห้งดี ก็แกะเปลือกออก แล้วเอามาขึ้นพักไว้ เสร็จแล้วก็เอาหม้อ(อีกใบ หรือว่าใบเดิมก็ได้) ตั้งไฟ แล้วใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย ใส่น้ำพริกพะแนงลงไปผัดให้หอม เสร็จแล้วก็ใส่หัวกะทะลงไป หรี่ไฟลง คอยคนไม่ให้ใหม้ติดก้นหม้อ พอกะทิแตกมัน ก็หรี่ไฟให้อ่อนมาก ๆ เสร็จแล้วก็ใส่น้ำปลา พริก และ ใบมะกรูดลงไป เสร็จแล้ว ก็เตรียมกะทะใบเล็ก ๆ (ทำง่ายกว่าใบใหญ่) ตั้งไฟใส่น้ำมันลงไป อย่าใช้ไฟแรงมาก แล้วก็ตีไข่ในชามให้เข้ากัน (กะว่าให้ห่อกุ้งได้ละกัน) ใส่นมลงไปนิดหน่อย แต่อย่าใส่น้ำ เสร็จแล้วก็เทไข่ลงไปในกะทะ พะยายามทำให้ไข่เป็นวงกลม แต่ไม่ต้องหนามาก(เดียวพับไม่ได้) พอไข่สุกด้านหนึ่ง ก็พริกอีกด้านหนึ่งขึ้นมา พอไข่สุกทั้งสองด้าน ก็เอาขึ้นใส่จาน เอากุ้งลงไปเรียงบนไข่สักสองสามตัว ราดด้วยน้ำพะแนงจากหม้อ แล้วก็พับไข่ให้ห่อกุ้งไว้ เอาต้นหอมซึ่งกรีดใบแช่น้ำไว้ วางตกแต่งให้สวยงามAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-47936499700678329142013-02-26T16:45:00.000+07:002013-02-26T16:45:07.469+07:00ไข่เบคอนอบชีส<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-arCgnHdSqTI/UP1r8-y9kyI/AAAAAAAAhWQ/keciRx0Jeww/s1600/74912_10151252851619582_500230674_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://2.bp.blogspot.com/-arCgnHdSqTI/UP1r8-y9kyI/AAAAAAAAhWQ/keciRx0Jeww/s400/74912_10151252851619582_500230674_n.jpg" width="298" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
อาหารเช้าที่ทำง่ายอีกหนึ่งอย่างครับ เอาจานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาทาเนยให้ทั่ว หั่นแฮมหรือเบคอนให้ส่งลงไปในจานได้ แล้ววางเรียงไว้สักสองชั้น ตามด้วยชีสที่ชอบครับ อาจจะเป็นพาร์เมสัน หรือว่า เชดดาร์ก็ได้ ตบท้ายด้วยการตอกไข่ลงไปหนึ่งฟอง แล้วก็เอาเข้าเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 150 องศาเซลเซียส อบไปเรื่อย ๆ จนไข่สุก ชีสเป็นสีทองสวย ก็เอาออกมาจากเตาอบ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย เกลือ และ พริกไทย ก็อร่อยได้แล้วครับ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
สูตรจาก <a href="https://www.facebook.com/zwingzet">ป้าเพชร</a></div>
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-75199828559331427252013-02-23T08:30:00.000+07:002013-02-23T08:30:29.753+07:00ไข่ในขนมปัง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-QSia69E9R64/UP1oJZYtWiI/AAAAAAAAhV4/sFnR6HWZVkA/s1600/483532_10151191485919582_1868607375_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-QSia69E9R64/UP1oJZYtWiI/AAAAAAAAhV4/sFnR6HWZVkA/s320/483532_10151191485919582_1868607375_n.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
อาหารเช้าง่าย ๆ อย่างหนึ่งก็คือขนมปังปิ้งกับไข่ดาว แต่ถ้าทำซ้ำหลาย ๆ วันอาจจะเบื่อได้ แถมบางคนอาจจะไม่ชอบไข่ดาวที่ต้องทอดในน้ำมัน เราลองมาพลิกแพลงขนมปังปิ้งกับไข่ดาวแบบง่าย ๆ นะครับ เอาเนยทาบนจานแบนขนาดพอดีกับขนมปัง แล้วเอาที่ตัดคุกกี้ (Cookie Cutter) ตัดขนมปังให้เป็นรูตรงกลาง ถ้าไม่มีที่ตัดคุกกี้ ก็เอาแก้วใบเล็ก ๆ ใช้แทนก็ได้ครับ พอได้รูตรงกลางขนมปังแล้ว ก็เอาขนมปังวางลงบนจาน ตกไข่ลงไป ใส่เข้าไปในเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 150 องซาเซลเซียส ทิ้งไว้จนไข่สุกดีนะครับ<br />
<br />
ถ้าไม่มีเตาอบ จะปิ้งบนกะทะก็ได้ครับ แต่ตอนตักขึ้นมาจากกะทะ ต้องระวังนิดหนึ่งนะครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-56881591284931829232013-02-21T10:47:00.001+07:002013-02-21T10:47:08.126+07:00แกงออกป๊าว หรือ แกงยอดมะพร้าวอ่อน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-siMwspa4UnQ/TliuxPq6v_I/AAAAAAAAPR0/sjj5Q5I7Oyw/s1600/333253_10150271086129582_630379581_7652662_6784891_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://1.bp.blogspot.com/-siMwspa4UnQ/TliuxPq6v_I/AAAAAAAAPR0/sjj5Q5I7Oyw/s400/333253_10150271086129582_630379581_7652662_6784891_o.jpg" width="400" /></a></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<br />
อาหารเหนือกันอีกสักชามนะครับ คนเมืองเหนือจะเรียกมะพร้าวว่า บะป๊าว ส่วนออกป๊าว ก็คือยอดอ่อนของมะพร้าวนั่นเองครับ แกงออกป๊าวนี้จะให้อร่อยต้องแกงกันไก่บ้านนะครับ สิ่งที่ต้องเตรียมก็มี ยอดมะพร้าวก่อนหั่นเป็นชิ้นพอคำ ไก่บ้านสับเป็นชิ้น ๆ พอคำเช่นกัน ใบมะกรูด ผักชี และ ต้นหอมซอย ส่วนเครื่องแกงนั้น ก็โขลกพริกแห้ง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอมแดง กะปิ เกลือ ให้เข้ากันครับ พอเตรียมเครื่องแกงเสร็จ ก็เอากะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไปนิดหน่อย แล้วเอาเครื่องแกงลงไปผัด เมื่อเครื่องแกงหอมดีแล้ว ก็เอาเนื้อไก่ลงไปผัดให้สุก แล้วเติมน้ำเปล่าหรือว่าน้ำซุปไก่ลงไป หรึ่ไฟนิดหน่องแล้วต้มจนไก่นุ่ม แล้วถึงใส่ยอดมะพร้าวอ่อนตามลงไป ต้มอีกสัก 5-10 นาที ดูว่ายอดมะพร้าวอ่อนสุกนิ่มดี ก็ใส่ใบมะกรดูดฉีกแล้วปิดไฟ ตักใส่จานโรยหน้าด้วยผักชี และต้นหอมซอยครับ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-47392555771619235212013-02-19T15:54:00.000+07:002013-02-19T15:54:39.513+07:00แกงกระด้าง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-uKm9v59N15k/TsuK_P77_hI/AAAAAAAAQSg/6qXDAB96zX8/s1600/PB221147.JPG" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://3.bp.blogspot.com/-uKm9v59N15k/TsuK_P77_hI/AAAAAAAAQSg/6qXDAB96zX8/s400/PB221147.JPG" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
คนไทยสมัยก่อนเป็นคนประหยัดเพราะอาหารการกินไม่ได้หาง่ายเช่นทุกวันนี้ แทบทุกส่วนของต้นไม้ใบไม้ต่างหาวิธีกินได้ทั้งนั้น รวมถึงเนื้อสัตว์ด้วย โดยเฉพาะคนเมืองเหนือ ซึ่งหาเนื้อสัตว์กินได้ยาก ยิ่งต้องหาเรื่องกินทุกส่วนให้ได้ สำหรับหมูนั้น คนเมืองเหนือจะกินเฉพาะมีงานสำคัญ ๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช หรือว่างานปีใหม่ เราจึงเห็นคนเมืองทำแกงฮังเลกินกันในวันปีใหม่เมืองนั่นเอง และเมื่อมีการเชือดหมูแล้ว ทุกส่วนก็ต้องเอาไปทำเป็นอาหารให้หมด ใส้ก็เอาไปทำใส้อั่ว สมองเอาไปทำแอบอ่องออ เครื่องในเอาไปทำคั่วตับหมู ส่วนพวกหนัง เอ็น และตีน ก็เอามาทำแกงกระด้างครับ<br />
<br />
ในสมัยก่อน แกงกระด้างเป็นอาหารที่คนเมืองทำกินในหน้าหนาว เพราะต้องใช้ความเย็นของอากาศในการทำให้แกงกระด้างแข็งตัว แต่ทุกวันนี้มีตู้เย็นแล้ว เราสามารถทำกินได้ทุกหน้าครับ วิธีการทำก็เริ่มจากล้างหนัง เอ็น และตีนหมูให้สะอาด แล้วค่อย ๆ เอามีดเลาะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นกระดูกออกไป พอทำเสร็จแล้วหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วไปต้มไฟอ่อน ๆ สักสองชั่วโมง ระหว่างนั้นก็โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้เข้ากับ บางบ้านจะใส่พริกแห้งด้วย ทำให้แกงกระด้างออกสีแดง ๆ นะครับ พอเตรียมเสร็จ ก็ใส่ลงไปในหม้อต้มหมู ตามด้วยเกลือนิดหน่อย ชิมรสให้พอดี ควรจะให้ออกเผ็ดพริกไทยนิด ๆ ตามด้วยรสเค็มครับ พอชิมรสชาติได้ที่แล้ว ก็เคี่ยวต่อไปอีกสักนิด ก็เทใส่ถาด ทิ้งไว้ในที่เย็น หรือว่าตู้เย็นเลยก็ได้ พอแกงกระด้างแข็งตัวดี ก็เอามีตัดให้เป็นชิ้น ๆ โรยด้วยผักชี ต้นหอมซอยนะครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-64460223639556962382013-02-16T22:46:00.000+07:002013-02-16T22:46:31.766+07:00BLT แซนด์วิช<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-y3SsyJJmin0/UR3DKvcwKgI/AAAAAAAAipM/C93_AE17A4Q/s1600/20130215_085155.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://2.bp.blogspot.com/-y3SsyJJmin0/UR3DKvcwKgI/AAAAAAAAipM/C93_AE17A4Q/s400/20130215_085155.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
อาหารเช้าแบบง่าย ๆ แต่ได้สารอาหารครบและอิ่มท้องครับ ชื่อ BLT ก็มาจากส่วนประกอบหลัก ก็คือ Bacon(เบคอน), Lettuce(ผักกาดหอม) และ Tomato(มะเขือเทศ) นั่นเอง วิธีการทำเริ่มจากล้างผักกาดหอมและมะเขือเทศให้สะอาดแล้วผึ่งให้แห้ง แล้วจึงหั่นมะเขือเทศเป็นแว่น ๆ เอาเบคอนไปทอด หรืออบ ตามชอบ พอสุกดีก็พักไว้ ผักกาดหอมวางบนขนมปัง มะเขือเทศและเบคอนวางทับลงไป โรยเกลือพริกไทยเสียหน่อย ใครชอบมายองเนสก็ทาลงไป พอเสร็จแล้วก็วางขนมปังอีกแผ่นลงไป เอามีดตัดตามขว้าง กินกันชาร้อน ๆ หรือว่ากาแฟ ก็อร่อยแล้วครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-76836078922807051992013-02-15T15:13:00.000+07:002013-02-15T15:13:15.291+07:00ตุ๋นดอกไม้จีน ใส่หมูสับห่อกะหล่ำปลี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-WhqmeJHUpGY/UR3HQ-qLcqI/AAAAAAAAipo/sH__-QmL3a0/s1600/20130214_195809.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://1.bp.blogspot.com/-WhqmeJHUpGY/UR3HQ-qLcqI/AAAAAAAAipo/sH__-QmL3a0/s1600/20130214_195809.jpg" height="400" width="300" /></a></div>
<br />
<br />
มีคนอยากกินหมูสับห่อกะหล่ำปลี ก็เลยทำให้กิน วิธีการทำก็เริ่มจากเอาหมูสับมาหมักกับซีอิ้วขาว พริกไทย และ กระเทียม หมักทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้น ก็ต้มน้ำในกะทะใบใหญ่หน่อย กะว่าใส่ใบกะหล่ำปลีลงไปทั้งใบได้ ตั้งไฟให้น้ำเดือด ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย พอน้ำเดือด ค่อย ๆ ลอกใบกะหล่ำปลีออกจากหัวทีละใบ บ้างให้สะอาด ตัดก้านที่แข็งออกไปสักนิด แล้วเอาลงไปลอกทั้งใบ พลิกด้านกลับไปกลับมาเป็นระยะ ๆ พอใบเริ่มสุก สังเกตุจากว่าใบกระหล่ำปลีจะใส ก็เอาขึ้นมาจากน้ำร้อน แล้วใส่ลงไปในน้ำเย็นทันที เพื่อหยุดการสุกของใบกระหล่ำปลี ไม่งั้นมันจะเละนะครับ ทำจนหมดใบกระหล่ำปลีที่เตรียมไว้<br />
<br />
พอเตรียมใบกะหล่ำปลีกับหมูพร้อมแล้ว ก็ห่อหมูสับโดยตักหมูสับพอประมาณวางตรงก้านใบ แล้วค่อย ๆ ม้วนไปทางปลายใบ พอม้วนได้ครึ่งทาง ก็พับเอาด้านข้างสองข้างเข้ามา แล้วค่อยม้วนต่อ จะได้แป็นก้อนทรงกระบอกที่ไม่คลายตัวง่าย ๆ พอม้วนเสร็จ ก็เตรียมน้ำซุบโดยต้มกระดูกหมู รากผักชี เม็ดพริกไทยขาวนิดหน่อย กระเทียม เกลือนิดหน่อย พอได้น้ำซุบแล้ว ก็เอาหมูที่ห่อเสร็จแล้ว วางเรียงในหม้อตุ๋น ใส่น้ำซุบลงไป ตามด้วยดอกไม้จีน ผมใช้ดอกไม้จีนไม่ฟอกสีนะครับ เลยสีดำหน่อย และผมใส่เห็ดออเรนจิลงไปด้วย เพื่อให้น้ำซุบมันหวานยิ่งขึ้น ใส่เห็ดอย่างอื่นได้ครับ แต่อย่าใส่เห็ดหอมเพราะกลิ่นมันแรงไป กลบกลิ่นอื่นหมด พอเตรียมเสร็จ ก็เอารังถึงขึ้นตั้งไฟ พอน้ำเดือด ก็เอาหม้อตุ๋นไปวาง ตุ๋นจนเห็ดนุ่มก็ปิดไฟ สามารถเติมซีอิ้วขาวและน้ำมันงานนิดหนึ่งเพื่อปรุงกลิ่นนะครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-20363054209074998012013-02-12T12:12:00.001+07:002013-02-12T12:12:28.059+07:00แกงบ่าค้อนก้อม หรือ แกงมะรุมแบบทางเหนือ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://2.bp.blogspot.com/-jRoeCerrrug/UP1oK4IKPeI/AAAAAAAAhV4/sZm0sJk9uw4/s1600/533728_10151098197964582_1526790898_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://2.bp.blogspot.com/-jRoeCerrrug/UP1oK4IKPeI/AAAAAAAAhV4/sZm0sJk9uw4/s400/533728_10151098197964582_1526790898_n.jpg" height="400" width="400" /></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a></div>
<br />
<br />
มะรุมเป็นผักที่กินได้ทั้งยอดและฝัก แถมดอกยังสวยอีกด้วย โดนทางเหนือจะเลือกต้นมะรุมว่า ผักอีฮุม แต่จะเรียกฝักของมะรุมว่า ค้อนก้อม บ่าค้อมก้อม หรือว่า มะค้อนก้อม ตามแต่ถิ่น โดน ค้อน ในคำเมืองจะแปลว่าท่อนไม้ ส่วน ก้อม ก็แปลว่าสั้น ดังนั้น ค้อนก้อม ก็คือ ท่อนไม้สั้น ๆ เพราะว่าฝักมะรุมนั้น ถ้าจะไม่ได้ปอกเปลือกออก จะแข็งมากเหมือนท่อนไม้นั้นเอง ส่วน คำน้ำหน้า บ่า หรือว่า มะ หมายถึงว่าเป็นฝักหรือผลไม้ที่กินได้<br />
<br />
แกงมะรุมหรือแกงบะค้อนก้อมแบบทางเหนือนั้น จะเริ่มจากเอาฝักมะรุมมาหั่นเป็นท่อน ๆ ยาวสักเท่านิ้วชี้ แล้วปลอกเปลือกที่แข็ง ๆ ออก มาพักไว้ ระหว่างนั้นโขลกเครืองแกงคือ พริกขี้หนูแห้ง กระเทียม หอมแดง ข่า ตะไคร้ กะปิ ปลาร้าต้ม และเกลือ เข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็เอากะทะตั้งไฟแล้วก็ผัดเครื่องแกงให้หอม เติมน้ำลงไปพอประมาณ พอน้ำเดือด ก็ใส่ปลาแห้งลงไป เมื่อปลาแห้งสุกนิ่มดี ก็ฝักมะระที่ปอกเสร็จแล้วลงไป ตั้งไฟอ่อนถึงกลาง แล้วค่อย ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนฝักมะระนุ่มดี ก็ใส่ชะอม กับ ใบชะพลูหั่นหยาบลงไป บางบ้านก็จะใส่มะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ด้วย พอผักสุกดี ก็ปิดไฟครับ<br />
<br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-56364019030546103622013-02-09T16:29:00.001+07:002013-02-09T16:29:17.667+07:00หมูชุบแป้งทอด<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://3.bp.blogspot.com/-FtiTiOTBGic/UP1oDvZftfI/AAAAAAAAhV4/PDHRwRqgvpE/s1600/24428_10151266474699582_72912358_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-FtiTiOTBGic/UP1oDvZftfI/AAAAAAAAhV4/PDHRwRqgvpE/s320/24428_10151266474699582_72912358_n.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
อาหารญี่ปุ่นทำง่ายกินอร่อยครับ เริ่มจากเอาหมูเนื้อสันที่มีมันแทรกชิ้นขนาดประมาณฝ่ามือหนาประมาณ 1/4 นิ้วมาล้างให้สะอาด แล้วผึ่งไว้ให้แห้งนะครับ เสร็จแล้วก็ใช้ฆ้อนทุบเนื้อ หรือว่า สันมีด ทุบให้เนื้อนุ่มดีแล้วโรยโดยเกลือกับพริกไทยนิดหน่อย เสร็จแล้วก็เตรียมแป้งข้าวโพด ไข่ เกล็ดขนมปัง แล้วก็เอากะทะใบใหญ่หน่อยตั้งไฟกลางให้ร้อนใส่น้ำมันทอดลงไป พอน้ำมันร้อนดีมีไอขึ้นมาแล้ว ก็เอาหมูไปชุบแป้งข้าวโพดจนเป็นสีขาวทั่วทั้งชิ้น แล้วก็เอาไปชุบไข่ให้ทั่ว สุดท้ายก็เอาเกล็ดขนมปังโรยให้ทั้วทั้งชิ้น แล้วจึงเอาลงไปทอดในกะทะ รอให้ด้านล่างสุกแล้วจึงค่อยพลิกนะครับ อย่าพลิกไปพลิกมา เกล็ดขนมปังจะหลุดหมดนะครับ พอสุกเหลืองสวยดี ก็ยกขึ้นมาวางไว้ให้หยัดน้ำมัน แล้วก็กเอามีดหั่นให้เป็นชิ้นพอคำ<br />
<br />
การทอดนะครับ อย่าใช้ไฟเบาเกินไป เพราะหมูจะอมน้ำมันนะครับ แต่ถ้าใช้ไฟแรงไป ด้านนอกจะสุกหรือไหม้โดยที่หมูด้านในยังไม่สุก ซึ่งถ้าหมูไม่สุกห้ามกินนะครับ อันตรายมาก<br />
<br />
พอทำหมูเสร็จก็เตรียมเครื่องเคียงตามชอบนะครับ เช่น กิมจิ กระหล่ำปลีแช่เย็น ซุปมิโซะ ต้นหอมญี่ปุ่นผัดเนย และอื่น ๆ นะครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-21873035638498246992013-02-06T15:22:00.000+07:002013-02-06T15:22:19.272+07:00ผักกาดจอ<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-6wM8YcQuamo/URD6tOqmtoI/AAAAAAAAiJw/Zf3R2uGY2HA/s1600/2013-02-05+19.26.04.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="http://3.bp.blogspot.com/-6wM8YcQuamo/URD6tOqmtoI/AAAAAAAAiJw/Zf3R2uGY2HA/s400/2013-02-05+19.26.04.png" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
ผักกาดจอหรือว่าจอผักกาดเป็นอาหารที่คนเมืองคุ้นเคยกันดี วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากนัก เริ่มจากเอากระดูกหมู(บางบ้านก็ใช้หมูสามชั้น)มาต้มน้ำ ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย พอหมูสุก ก็ใส่กะปิ หรือว่าปลาร้า(คนเมืองเรียก ฮ้า) ถั่วเน่าปิ้ง และ น้ำมะขามเปียกลงไป ชิมดูว่าได้รสหรือยัง ถ้าใช้ได้แล้ว ก็ใส่ผักกาดจ้อน(ผักกาดเขียวที่มีดอก)หักเป็นท่อน ๆ ลงไป แล้วเร่งไฟให้แรง<br />
<br />
บางบ้านจะทำอีกแบบคือ พอเอากระดูกหมูต้มกับเกลือแล้ว ก็จะตำกระเทียม หอมแดง กะปิ ปลาร้า และเกลือเข้าด้วยกัน พอหมูสุก ก็ใส่เครื่องปรุงที่ตำเสร็จแล้วลงไปในหม้อ ตามด้วย ถั่วเน่าปิ้ง และ น้ำมะขามเปียก นะครับ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบ้านไหนจะสูตรไหน<br />
<div>
<br /></div>
<div>
ระหว่างที่รอผักกาดเปี่อย ก็ตั้งกะทะ เทน้ำมันหมูเพื่อทอดหัวหอมกับกับกระเทียม พอหัวหอมและกระเทียมเหลืองและผักกาดเปื่อยดี ก็เทหัวหอมกับกระเทียมในกะทะลงไปในหม้อ คน ๆ ให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยพริกแห้งทอด ก็พร้อมกินได้แล้ว</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-2093433177355418072013-02-05T17:38:00.001+07:002013-02-05T17:38:51.556+07:00กุ้งผัดพริกกระเทียม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-9QtuauXxnDQ/UP1oDqG5bAI/AAAAAAAAhV4/d5CF_nQyvGc/s1600/222500_10151151480964582_1762063391_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="480" src="http://1.bp.blogspot.com/-9QtuauXxnDQ/UP1oDqG5bAI/AAAAAAAAhV4/d5CF_nQyvGc/s320/222500_10151151480964582_1762063391_n.jpg" width="480" /></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a></div>
<br />
<br />
วันก่อนโน้น เพื่อนมาทำทะเลปิ้งย่างกินที่บ้าน แล้วมีกุ้งเหลือใส่ตู้เย็นไว้ เอามาดม ๆ ดู ก็ไม่ค่อยสดเท่าไหร่แล้วครับ เริ่มมีกลิ่นนิด ๆ แต่ยังไม่เสีย เลยเอามาล้างให้สะอาดแล้วโรยแป้งมัน พริกไทย รากผักชีบด และเกลือ ใส่น้ำนิดหน่อย คลุกกับกุ้งให้แป้งเคลือบกุ้งไว้บาง ๆ ก็เอาไปทอดน้ำมันร้อน ๆ ให้เปลือกกุ้งกรอบ แล้วก็พักให้หยาดน้ำมัน<br />
<br />
ระหว่างที่รอกุ้ง ก็สับกระเทียม ต้นหอม พริกชี้ฟ้า ให้เป็นชิ้นหยาบ ๆ ใส่น้ำมันลงไปในกระทะนิดหน่อย เจียวกระเทียมให้เหลืองแล้วใส่ต้นหอมและพริกลงไปตามด้วยกุ้งที่เตรียมไว้ ใส่น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว และซีอิ้วดำลงไปนิดหน่อย ผัดจนแห้งดี ก็ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยผักชีครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-80912009256876818582013-02-02T15:12:00.000+07:002013-02-02T15:15:38.490+07:00มัสมั่น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-pzYL26RucKY/UP1oKJWWxgI/AAAAAAAAhV4/1GJ0jGxlxkg/s1600/533291_10150887607279582_1383671369_n.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://1.bp.blogspot.com/-pzYL26RucKY/UP1oKJWWxgI/AAAAAAAAhV4/1GJ0jGxlxkg/s400/533291_10150887607279582_1383671369_n.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both;">
๏ มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง </div>
<div class="separator" style="clear: both;">
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา</div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
-- กาพย์เห่ชมเครื่องคาว </div>
<div class="separator" style="clear: both;">
พระราชนิพนธ์ โดย </div>
<div class="separator" style="clear: both;">
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย</div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
เราคงคุ้ยเคยกับกาพย์ยานี 11 สองบาทนี้ ซึ่งเด็กไทยแทบทุกคนคงจะได้เคยอ่าน และคุ้นเคยกับอาหารไทย ๆ อย่างมัสมั่นเป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มัสมั่น รวมถึงแกงที่ใช้เครื่องเทศอื่น ๆ ไม่ได้กำเนิดในเมืองไทย แต่เรารับมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมัสมั่นนั้น เชื่อกันว่าเรารับมาจากมุสลิมมาลายู ผ่านมาทางภาคใต้ของไทย ซึ่งถ้าดูส่วนประกอบ อาหารชนิดนี้ ก็น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอาหารอินเดียไม่มากก็น้อย</div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
สำหรับสูตรมัสมั่นในที่นี้นำมาจากหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งเป็นอาหารคาวชนิดแรกในหนังสือเล่มแรกของชุด อันแสดงถึงความนิยมของมัสมั่นในหมู่คนไทยได้เป็นอย่างดี สำหรับเครื่องปรุงพริกแกงมัสมั่นจะประกอบไปด้วย พริกแห้ง หอมแดง ตะใคร้ รากผักชี กะปิ ดอกจัน กระวาน อบเชย พริกไทย ยี่หร่า ลูกผักชี จะเห็นว่า พริกแกงของมัสมั่นมีเครื่องเทศอยู่หลายชนิดมาก ซึ่งถ้าไม่สะดวกที่จะตำเอง ใช้พริกแกงสำเร็จรูปได้ครับ</div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
เมื่อมีพริกแกงแล้ว ก็เตรียมหอมแขก น้ำมะขาม น้ำปลา น้ำตาลปึก หัวกะทิ เนื้อไก่หรือเนื้อวัว ถั่วลิสงที่เอาเปลือกออกแล้ว เตรียมไว้ สำหรับในรูปเป็นเนื้อวัวนะครับ วิธีการทำก็เริ่มจากการเตรียมพริกแกงก่อน โดยเอาเครื่องปลุงพริกแกงทั้งหมดไปคั่วให้หอมก่อน แล้วจึงเอามาโขลกให้ละเอียด แล้วใส่น้ำมันพืชลงไปในกะทะใบใหญ่ ๆ ตั้งไฟให้พอร้อน เอาเนื้อไก่หรือเนื้อวัวสับเป็นชิ้นโต ๆ ทั้งกระดูกลงไปผัดพอให้สุกเหลืองดี แล้วเทน้ำมันออก ทิ้งไปบ้าง หรือจะถ่ายไปใส่หม้อใบโต ๆ ก็ได้ เอาพริกแกงที่ตำไว้ลงไปผัดกับน้ำมัน ใส่น้ำปลาปรุงรสเสียหน่อย เมื่อเข้ากับดีแล้ว ก็เอากะทิลงไปผัดกับพริกแกง ปรุงรสด้วยน้ำตาลปึก น้ำมะขาม และน้ำปลา เมื่อได้รสดีแล้ว ก็ใส่ถั่วลิส่งลงไป ปิดฝากะทะหรือหม้อไว้ เคี่ยวจนเนื้อไก่หรือเนื้อวัวเปื่อยดี สังเกตง่าย ๆ คือ เนื้อล่อนจากกระดูกแล้ว ก็ใช้ได้</div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
บางบ้าน ก็จะใส่มันเทศลงไปด้วยครับ แต่บางบ้านก็ไม่ใส่ และจะสังเกตเห็นว่า สูตรการทำมัสมั่นของท่านผู้หญิงเปลี่ยนนั้น เป็นแบบไทยภาคกลางครับ คือเน้นรสหวานจากน้ำตาลปึก ในขณะที่สูตรแบบมาลายูนั้น จะเน้นรสเค็มมันมากกว่า </div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
ข้อหน้าสังเกตอีกอย่างคือ ไม่มีการทำมัสมั่นหมู เพราะว่ามัสมั่นเป็นอาหารที่มาจากแขกมุสลิมนั่นเองครับ</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a></div>
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-14928555068323793982013-01-31T22:57:00.001+07:002013-01-31T22:57:20.690+07:00แหนมหมกกับผักแนม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://lh5.ggpht.com/-yXsY1I_FLn4/UQpjdojg50I/AAAAAAAAhtA/bbqwooiiQT0/s1600/IMG_20130131_190818.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"> <img border="0" height="400" src="http://lh5.ggpht.com/-yXsY1I_FLn4/UQpjdojg50I/AAAAAAAAhtA/bbqwooiiQT0/s400/IMG_20130131_190818.jpg" width="400" /> </a> </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
แม่ให้แหนม หรือที่คนเมืองเรียกจิ้นส้มมาหนึ่งพวง มีอยู่ห้าลูก แกะห่อใบตองอันซับซ้อนออกมาเจอแหนมก้อนเท่าลูกมะนาวมีพริกให้เรียบร้อย เลยโยนใส่เตาอบ เปิดไฟไว้พอควร แล้วเดินไปหลังบ้าง เก็บผักเผ็ด หอมด่วน(สะระแหน่) หอมป้อม(ผักชี) ผักชีดอย(ผักชีฝรั่ง) ก้อมกอขาว(แมงลัก) มากินแกล้ม</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ทำอาหารบางทีไม่ต้องทำอะไรซับซ้อนมาก็ได้ครับ แค่เก็บผักรอบ ๆ บ้าน ก็อิ่มอร่อยไปได้อีกมื้อแล้ว</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-90357588778604584512013-01-31T03:07:00.001+07:002013-01-31T03:08:39.419+07:00แกงจืดสาหร่ายเต้าหู้หมูสับ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://lh3.ggpht.com/-KzySwZeSWjg/UQl10v-b6KI/AAAAAAAAhm8/MlVjg3aUpNc/s1600/IMG_20130130_190346.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"> <img border="0" src="http://lh3.ggpht.com/-KzySwZeSWjg/UQl10v-b6KI/AAAAAAAAhm8/MlVjg3aUpNc/s640/IMG_20130130_190346.jpg" /> </a> </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
อาหารง่าย ๆ ทำง่าย ๆ กินง่าย ๆ นะครับ เหมาะกับวันที่คิดอะไรไม่ออก หรือว่ามีอาหารที่มีรสจัดอยู่แล้ว อยากได้อาหารอีกสักอย่างที่มาช่วยผ่อนรสลง หรือว่าดึก ๆ เกิดหิว ก็ทำกินได้ใช้เวลาไม่นาน วัตถุดิบก็หาได้ง่าย ๆ ทั่วไป ซึ่งก็คือ ซี่โครงหมู หมูสับ กระเทียม น้ำปลา รากผักชี พริกไทยขาว เต้าหู้ขาวหรือว่าเต้าหู้ไข่ก็ได้ ตามชอบ แล้วก็สาหร่ายนะครับ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
เริ่มจากการเอาซี่โครงหมูมาต้มน้ำก่อน ไม่ต้องใส่น้ำเยอะกะว่าพอท่วมซี่โครงหมูก็ใช้ได้แล้ว ซี่โครงหมูที่ใช้นี้เป็นแบบหั่นเป็นท่อนสั้น ๆ สักหนึ่งนิ้วมาแล้ว มีติดบ้านไว้ก็ดีนะครับ ไม่รู้จะทำอะไรกิน ก็เอามาหมักกับพวกซอสต่าง ๆ เอามาทอดกินก็อร่อย หรือว่าจะเอามาทำน้ำซุปก็ได้ ก็ต้มไฟกลางไปเรื่อย ๆ ครับ สังเกตุดูว่าน้ำซุปเริ่มข้นขึ้น ก็ใช้ได้แล้ว </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ระหว่างนั้นก็ไปหมักหมูสับครับ สับกระเทียมกับรากผักชีให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปในหมูสับตามด้วยน้ำปลากับพริกไทย แล้วนวดให้เข้ากัน อย่าให้น้ำปลาหรือว่าพริกไทยเยอะเกินไปจนกลบรสหมูนะครับ จะให้ดีควรเป็นหมูสับที่มีมันหมูปนมานิด ๆ จะอร่อยมาก ทิ้งไว้สักพัก ก็ปั้นเป็นก้อนใส่ลงไปในหม้อต้มกระดูกหมู พอหมูสับสุกดีก็ใส่เต้าหู้กับสาหร่ายลงไป ทิ้งไว้สักพัก ใครชอบใส่ต้นหอมผักชีหรือว่าคึ่นช่ายก็ตามชอบครับ และแนะนำว่า ถ้ามีน้ำมันงาก็ใส่ลงไปสักสองสามหยดจะช่วยให้หอมขึ้นครับ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ผมขึ้นต้นว่าอาหารง่าย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว การจะทำให้รสแกงจืดออกมากลมพอดีเข้ากับอาหารอะไรก็ได้ เป็นเรื่องยากมากครับ ต้องค่อย ๆ ปรุงค่อย ๆ ปรับกันไป ที่ต้องระวังคือ อย่าให้เค็มเกินไปเท่านั้น เพราะถ้าเค็มเกินไป แก้ยากครับ ทำได้แค่เติมน้ำเข้าไปอีก ซึ่งจะทำให้น้ำซุปจืดไปทันที ดังนั้นต้องระวังเรื่องการใช้น้ำปลานะครับ</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-33698089045441277142013-01-29T23:01:00.000+07:002013-02-21T10:53:28.011+07:00สปาเก็ตตีมีทบอล<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://3.bp.blogspot.com/-8URgz26prYM/UP1rWL9cF9I/AAAAAAAAhWI/_4Ki2QrAL_U/s1600/148467_10151168346639582_1612798726_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="http://3.bp.blogspot.com/-8URgz26prYM/UP1rWL9cF9I/AAAAAAAAhWI/_4Ki2QrAL_U/s640/148467_10151168346639582_1612798726_n.jpg" width="640" /></a></div>
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><br />
<br />
สปาเก็ตตีมีทบอล หรือ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อแบบอิตาลีนั้น ทำไม่ยากครับ ใช้วัตถุดิบไม่มาก และใช้เวลาทำไม่นาน<br />
<br />
ขั้นตอนเริ่มจากการทำมีทบอลก่อน เอาเนื้อวัวบดสัก 4-5 ขีด มานวดเบา ๆ ให้เหนียว จะให้ดีควรเป็นเนื้อติดมันนะครับ จะอร่อยมาก เสร็จแล้วผสมพาร์เมสันชีสสับละเอียด 1/4 ถ้วย พาร์สลีย์ 1/4 ถ้วย สับละเอียดเช่นกัน กระเทียมนิดหน่อย ไข่ 1ฟอง และเกร็ดขนมปัง (breadcrumbs) 1/4 ถ้วย นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ถ้าไม่มีพาร์เมสันชีสหรือว่าพาร์สลีย์ก็ไม่ต้องใส่นะครับ แล้วแบ่งเป็นก้อนขนาดประมาณลูกชิ้นลูกโตหน่อย <br />
<br />
พอปั้นเสร็จหมดแล้ว ก็เอากะทะใบใหญ่ตั้งไฟกลาง เทน้ำมันมะกอกลงไปแล้วเอามีทบอลลงไปทอด หมั่นพลิกให้สุกเกรียมเป็นสีน้ำตาลเท่ากันทั้งลูก เมื่อสุกแล้วก็หรี่ไฟลง แล้วเทซอสมะเขือเทศลงไปในกะทะ ซอสมะเขือเทศที่ว่านี้คือซอสสำหรับพาสต้า (Pasta sauce) นะครับ ไม่ใช่ซอสมะเขือเทศแบบในขวด (Tomato sauce/Ketchup) ค่อย ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ สิบนาที หมั่นพลิกมีทบอลนะครับ ไม่งั้นจะใหม้<br />
<br />
ระหว่างที่เคี่ยวมีทบอลไป ก็เอาหม้อใบใหญ่ ๆ ใส่น้ำตั้งไฟให้เดือด ใส่เกลือลงไปให้เค็มพอ ๆ กับน้ำทะเล ใส่น้ำมันมะกอกสักสองสามฝา แล้วเอาเส้นสปาเก็ตตี้ลงไปต้ม ดูที่ข้างกล่องนะครับว่าต้องต้มนานเท่าใด พอเส้นสุกแล้ว ก็เอาขึ้นสะเด็ดน้ำให้เรียบร้อย เอาซอสมะเขือเทศและมีทบอลในกะทะลงมาคลุก หรือว่าจะเสริฟแยกก็ได้ครับ ทานกับมะเขือเทศสดและร๊อคเก็ต โรยหน้าด้วยพาร์เมสันชีส ก็อร่อยดี<br />
<br />
สำหรับน้ำมันมะกอกที่ใช้ ไม่ควรใช้แบบ Extra Virgin นะครับ เพราะมีจุดติดไฟที่ต่ำ จะทอดไม่สุกเอาแต่จะควันโขมงแทน ใช้แบบที่เขาเขียนว่า Classical ดีกว่าครับAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-11894018657402795642013-01-28T23:26:00.000+07:002013-01-28T22:06:09.237+07:00มาการิต้าพิซซ่า<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivoOEF9leMaKAGKfabjXAqTIhVW7gsqyNh16ngzgFqaWV5as-J9o2oM_p4mDyoNRe5kF1xq_8YbnsF-UN6NdgN8PVlsZ1ahVPZsAA7V44M3GaPMFpvEdwUQMTaCB-yOp0HK2ATwpc8v4Q/s1600/277905_10150980248939582_1066517658_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivoOEF9leMaKAGKfabjXAqTIhVW7gsqyNh16ngzgFqaWV5as-J9o2oM_p4mDyoNRe5kF1xq_8YbnsF-UN6NdgN8PVlsZ1ahVPZsAA7V44M3GaPMFpvEdwUQMTaCB-yOp0HK2ATwpc8v4Q/s1600/277905_10150980248939582_1066517658_o.jpg" height="512" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=5146813386986162290" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"></a></div>
พิซซ่ามาเกริต้า (<span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">Pizza Margherita) เป็นพิซซ่าพื้นฐานที่แทบทุกร้านที่ขายพิซซ่าจะต้องมี เนื่องด้วยมีองค์ประกอบเพียงสี่อย่าง คือ แป้งพิซซ่า ชีส ซอสมะเขือเทศ และ ใบโหระพา (Sweet basil) ซึ่งมีตำนานว่าพระราชินีมาเกริต้า (</span><a href="https://en.wikipedia.org/wiki/Margherita_of_Savoy" style="background-color: white; background-image: none; color: #0b0080; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; text-decoration: initial;" title="Margherita of Savoy">Margherita of Savoy</a><span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">) แห่งอิตาลี มาเยี่ยมเมือง ๆ หนึ่ง คนในเมืองนั้นจึงทำพิซซ่าถวาย โดยใช้สีสามสีคือ แดง ขาว และ เขียว อันเป็นสีของธงชาติอิตาลีเป็นสีของพิซซ่า ซึ่งสีแดง ก็ได้มาจากซอสมะเขือเทศ ขาวจากมอซซาเรลล่าชีส และ เขียวจากใบโหระพานั่นเอง<br />
<br />
ก่อนจะทำพิซซ่า ก็ต้องเตรียมแป้งพิซซ่าก่อน การเตรียมแป้งพิซซ่านั้นมีหลายสูตร ซึ่งก็ต้องค่อย ๆ ปรับไป ดังนั้นถ้าทำครั้งแรก ๆ แล้วออกมาไม่สำเร็จ ก็อย่าเพิ่งใจเสียนะครับ ส่วนผสมของแป้งพิซซ่าคือ</span><br />
<ul>
<li><span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">แป้งขนมปัง 2 ถ้วย</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">ยีสต์ 1 ซองเล็ก (ประมาณ 7-8 กรัม ซื้อเป็นแบบซองเล็ก ๆ จะใช้ง่าย เก็บง่ายกว่า)</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">น้ำตาลทรายขวา 2 ช้อนชา</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา</span></li>
</ul>
<span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">
ส่วนผสมนี้จะได้พิซซ่าขนาด 6 นิ้ว 4 ถาด หรือว่า 12 นิ้ว 1 ถาด นะครับ วิธีการทำก็คือ เตรียมน้ำอุ่นหนึ่งถ่วย อุณหภมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส กะง่าย ๆ ก็ประมาณกาแฟอุ่น ๆ นะครับ ใส่ยีสต์ลงไป คนให้ละลายดีแล้วทิ้งไว้จนกว่ายีสต์จะฟู ระหว่างนั้นก็ร่อนแป้งสักรอบ แล้วผสมน้ำตาลลงไปในแป้ง พอยีสต์ได้ที่ ก็ยีสต์ลงไปในแป้ง ตามด้วยน้ำมันมะกอก แล้วค่อย ๆ นวดแป้งจนแป้งเนียนเข้ากันดี เอาใส่ชามให่ ๆ ที่ทาน้ำมันมะกอกไว้แล้ว หาฝาอะไรมาปิดไว้อย่าให้โดนลืม ทิ้งไว้จนแป้งขยายตัวสองเท่านะครับ <br />
<br />
เมื่อแป้งขยายตัวได้ที่แล้ว ก็แบ่งออกมาเป็น 4 ส่วน ใช้ไม้นวดแป้งค่อย ๆ คลึงให้เป็นแผ่น ถ้าสามารถก็ทำเป็นแผ่นกลมนะครับ แ่ถ้าไม่กลม ก็ไม่ได้ทำให้รสชาติหายไปแค่ว่าอาจจะสุกไม่เท่ากันทั้งแผ่นเท่านั้นเอง ข้อสังเกตุคือ เวลาแผ่แป้ง แป้งจะหดตัวบ้าง ให้ยืดแป้งเผื่อมันหดตัวไว้ด้วย และเมื่อทำแป้งเสร็จแล้ว ก็เอาซอสมเขือเทศทาลงไป โรยหน้าด้วย</span><span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">มอซซาเรลล่า</span><span style="background-color: white; font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px;">ชีสแล้วเอาไปเข้าเตาอบที่อุณหภมิ 190 องศาเซลเซียสเป็นเวลาประมาณ 20-25 นาที หรือสังเกตุว่าแป้งสุกดีแล้ว ก็โรยหน้าด้วยโหระพา ซึ่งอาจจะซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือว่าโรยลงไปทั้งใบก็ได้ครับ<br />
<br />
แป้งที่เตรียมไว้ จะเก็บได้ 2-3 วันในตู้เย็นนะครับ ถ้านานกว่านั้น แป้งจะเสีย ซึ่งสามารถดมกลิ่นดูได้ครับ ถ้ามีกลิ่นเปรี้ยว ๆ ก็แสดงว่าเสียแล้วครับ<br />
<br />
</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5146813386986162290.post-79911859360143141972013-01-26T22:24:00.000+07:002013-01-28T19:45:54.874+07:00ปลากะพงนึ่งบ้วย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-24pAIXokzo0/UP1oMQcT3bI/AAAAAAAAhV4/7JgWEIF890Y/s1600/545263_10151140155899582_1439506796_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="http://3.bp.blogspot.com/-24pAIXokzo0/UP1oMQcT3bI/AAAAAAAAhV4/7JgWEIF890Y/s640/545263_10151140155899582_1439506796_n.jpg" width="640" /></a></div><br />
<br />
ไปเดินซุปเปอร์ฯเจอปลากะพงขาวหน้าตาดีเลยบอกน้องเขาช่วยผ่าท้องขอดเกล็ดแล้วจัดการพามาที่บ้าน ล้างให้สะอาดอีกรอบ เอามีดบั้งสองข้างเอาไว้แล้ววางผึ่งให้แห้ง ระหว่างนั้นยีบ้วยดองเอาแต่เนื้อแล้วเอาไปสับกับเนื้อหมู ขิง และ เห็ดหอม สับพอเข้ากับก็ยัดลงไปในเนื้อปลา พร้อมกับหั่นขิง เห็ด หมูสามชั้น พริกสด และ ต้นหอมเตรียมไว้ เอาลังถึงตั้งไฟพอน้ำเดือดดี ก็เอาปลาวางลงบาจาน โรยด้วยขิง เห็ด และหมูสามชั้น แล้วเอาขึ้นไปนึ่งจนสุก วิธีการสังเกตุง่าย ๆ ก็คือ เอาตะเกียบเขี่ยตรงเนื้อปลาตรงที่ติดก้างถ้าเนื้อมันล่อนจากจากดี ก็แสดงว่าสุกแล้ว ก็เอาลงจากลังถึง โรยหน้าด้วยพริกและต้นหอม กินกับน้ำจิ้มที่ทำจากซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ เต้าเจี้ยว และพริกสดครับ<br />
<br />
เวลาเลือกปลา เลือกที่ตายังใสอยู่นะครับ ถ้าตาปลาเป็นสีขุ่นๆ แสดงว่าเป็นปลาเก่าแล้วAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/17510054325500399649noreply@blogger.com0