วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พะแนงกุ้งห่อไข่




อาหารจานนี้จริง ๆ แล้วเป็นอาหารที่ทำง่าย และ เร็วมากด้วย สิ่งที่ต้องมีก็คือ กุ้ง ไข่ น้ำพริกพะแนง พริก ใบมะกรูด น้ำปลา และ ต้นหอม

วิธีทำ ก็เริ่มจากเอากุ้งมาผ่าหลังเอาเส้นสีดำ ๆ แต่ไม่ต้องเอาเปลือกออก เสร็จแล้วก็เอาหม้อเล็ก ๆ ตั้งไฟ ใส่น้ำลงไปนิดหนึ่ง เสร็จแล้ว ก็โรยเกลือลงไป แล้วก็ใส่กุ้งลงไป ปิดฝา แล้วก็คอยเขย่าหม้อไม่ให้กุ้งใหม้ติดก้นหม้อ พอกุ้งสุก และแห้งดี ก็แกะเปลือกออก แล้วเอามาขึ้นพักไว้ เสร็จแล้วก็เอาหม้อ(อีกใบ หรือว่าใบเดิมก็ได้) ตั้งไฟ แล้วใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย ใส่น้ำพริกพะแนงลงไปผัดให้หอม เสร็จแล้วก็ใส่หัวกะทะลงไป หรี่ไฟลง คอยคนไม่ให้ใหม้ติดก้นหม้อ พอกะทิแตกมัน ก็หรี่ไฟให้อ่อนมาก ๆ เสร็จแล้วก็ใส่น้ำปลา พริก และ ใบมะกรูดลงไป เสร็จแล้ว ก็เตรียมกะทะใบเล็ก ๆ (ทำง่ายกว่าใบใหญ่) ตั้งไฟใส่น้ำมันลงไป อย่าใช้ไฟแรงมาก แล้วก็ตีไข่ในชามให้เข้ากัน (กะว่าให้ห่อกุ้งได้ละกัน) ใส่นมลงไปนิดหน่อย แต่อย่าใส่น้ำ เสร็จแล้วก็เทไข่ลงไปในกะทะ พะยายามทำให้ไข่เป็นวงกลม แต่ไม่ต้องหนามาก(เดียวพับไม่ได้) พอไข่สุกด้านหนึ่ง ก็พริกอีกด้านหนึ่งขึ้นมา พอไข่สุกทั้งสองด้าน ก็เอาขึ้นใส่จาน เอากุ้งลงไปเรียงบนไข่สักสองสามตัว ราดด้วยน้ำพะแนงจากหม้อ แล้วก็พับไข่ให้ห่อกุ้งไว้ เอาต้นหอมซึ่งกรีดใบแช่น้ำไว้ วางตกแต่งให้สวยงาม

ไข่เบคอนอบชีส


อาหารเช้าที่ทำง่ายอีกหนึ่งอย่างครับ เอาจานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาทาเนยให้ทั่ว หั่นแฮมหรือเบคอนให้ส่งลงไปในจานได้ แล้ววางเรียงไว้สักสองชั้น ตามด้วยชีสที่ชอบครับ อาจจะเป็นพาร์เมสัน หรือว่า เชดดาร์ก็ได้ ตบท้ายด้วยการตอกไข่ลงไปหนึ่งฟอง แล้วก็เอาเข้าเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 150 องศาเซลเซียส อบไปเรื่อย ๆ จนไข่สุก ชีสเป็นสีทองสวย ก็เอาออกมาจากเตาอบ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย เกลือ และ พริกไทย ก็อร่อยได้แล้วครับ

สูตรจาก ป้าเพชร

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไข่ในขนมปัง




อาหารเช้าง่าย ๆ อย่างหนึ่งก็คือขนมปังปิ้งกับไข่ดาว แต่ถ้าทำซ้ำหลาย ๆ วันอาจจะเบื่อได้ แถมบางคนอาจจะไม่ชอบไข่ดาวที่ต้องทอดในน้ำมัน เราลองมาพลิกแพลงขนมปังปิ้งกับไข่ดาวแบบง่าย ๆ นะครับ เอาเนยทาบนจานแบนขนาดพอดีกับขนมปัง แล้วเอาที่ตัดคุกกี้ (Cookie Cutter) ตัดขนมปังให้เป็นรูตรงกลาง ถ้าไม่มีที่ตัดคุกกี้ ก็เอาแก้วใบเล็ก ๆ ใช้แทนก็ได้ครับ พอได้รูตรงกลางขนมปังแล้ว ก็เอาขนมปังวางลงบนจาน ตกไข่ลงไป ใส่เข้าไปในเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 150 องซาเซลเซียส ทิ้งไว้จนไข่สุกดีนะครับ

ถ้าไม่มีเตาอบ จะปิ้งบนกะทะก็ได้ครับ แต่ตอนตักขึ้นมาจากกะทะ ต้องระวังนิดหนึ่งนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แกงออกป๊าว หรือ แกงยอดมะพร้าวอ่อน




อาหารเหนือกันอีกสักชามนะครับ คนเมืองเหนือจะเรียกมะพร้าวว่า บะป๊าว ส่วนออกป๊าว ก็คือยอดอ่อนของมะพร้าวนั่นเองครับ แกงออกป๊าวนี้จะให้อร่อยต้องแกงกันไก่บ้านนะครับ สิ่งที่ต้องเตรียมก็มี ยอดมะพร้าวก่อนหั่นเป็นชิ้นพอคำ ไก่บ้านสับเป็นชิ้น ๆ พอคำเช่นกัน ใบมะกรูด ผักชี และ ต้นหอมซอย ส่วนเครื่องแกงนั้น ก็โขลกพริกแห้ง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอมแดง กะปิ เกลือ ให้เข้ากันครับ พอเตรียมเครื่องแกงเสร็จ ก็เอากะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไปนิดหน่อย แล้วเอาเครื่องแกงลงไปผัด เมื่อเครื่องแกงหอมดีแล้ว ก็เอาเนื้อไก่ลงไปผัดให้สุก แล้วเติมน้ำเปล่าหรือว่าน้ำซุปไก่ลงไป หรึ่ไฟนิดหน่องแล้วต้มจนไก่นุ่ม แล้วถึงใส่ยอดมะพร้าวอ่อนตามลงไป ต้มอีกสัก 5-10 นาที ดูว่ายอดมะพร้าวอ่อนสุกนิ่มดี ก็ใส่ใบมะกรดูดฉีกแล้วปิดไฟ ตักใส่จานโรยหน้าด้วยผักชี และต้นหอมซอยครับ













วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แกงกระด้าง



คนไทยสมัยก่อนเป็นคนประหยัดเพราะอาหารการกินไม่ได้หาง่ายเช่นทุกวันนี้ แทบทุกส่วนของต้นไม้ใบไม้ต่างหาวิธีกินได้ทั้งนั้น รวมถึงเนื้อสัตว์ด้วย โดยเฉพาะคนเมืองเหนือ ซึ่งหาเนื้อสัตว์กินได้ยาก ยิ่งต้องหาเรื่องกินทุกส่วนให้ได้ สำหรับหมูนั้น คนเมืองเหนือจะกินเฉพาะมีงานสำคัญ ๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช หรือว่างานปีใหม่ เราจึงเห็นคนเมืองทำแกงฮังเลกินกันในวันปีใหม่เมืองนั่นเอง และเมื่อมีการเชือดหมูแล้ว ทุกส่วนก็ต้องเอาไปทำเป็นอาหารให้หมด ใส้ก็เอาไปทำใส้อั่ว สมองเอาไปทำแอบอ่องออ เครื่องในเอาไปทำคั่วตับหมู ส่วนพวกหนัง เอ็น และตีน ก็เอามาทำแกงกระด้างครับ

ในสมัยก่อน แกงกระด้างเป็นอาหารที่คนเมืองทำกินในหน้าหนาว เพราะต้องใช้ความเย็นของอากาศในการทำให้แกงกระด้างแข็งตัว แต่ทุกวันนี้มีตู้เย็นแล้ว เราสามารถทำกินได้ทุกหน้าครับ วิธีการทำก็เริ่มจากล้างหนัง เอ็น และตีนหมูให้สะอาด แล้วค่อย ๆ เอามีดเลาะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นกระดูกออกไป พอทำเสร็จแล้วหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วไปต้มไฟอ่อน ๆ สักสองชั่วโมง ระหว่างนั้นก็โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยให้เข้ากับ บางบ้านจะใส่พริกแห้งด้วย ทำให้แกงกระด้างออกสีแดง ๆ นะครับ พอเตรียมเสร็จ ก็ใส่ลงไปในหม้อต้มหมู ตามด้วยเกลือนิดหน่อย ชิมรสให้พอดี ควรจะให้ออกเผ็ดพริกไทยนิด ๆ ตามด้วยรสเค็มครับ พอชิมรสชาติได้ที่แล้ว ก็เคี่ยวต่อไปอีกสักนิด ก็เทใส่ถาด ทิ้งไว้ในที่เย็น หรือว่าตู้เย็นเลยก็ได้ พอแกงกระด้างแข็งตัวดี ก็เอามีตัดให้เป็นชิ้น ๆ โรยด้วยผักชี ต้นหอมซอยนะครับ

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

BLT แซนด์วิช


อาหารเช้าแบบง่าย ๆ แต่ได้สารอาหารครบและอิ่มท้องครับ ชื่อ BLT ก็มาจากส่วนประกอบหลัก ก็คือ Bacon(เบคอน), Lettuce(ผักกาดหอม) และ Tomato(มะเขือเทศ) นั่นเอง วิธีการทำเริ่มจากล้างผักกาดหอมและมะเขือเทศให้สะอาดแล้วผึ่งให้แห้ง แล้วจึงหั่นมะเขือเทศเป็นแว่น ๆ เอาเบคอนไปทอด หรืออบ ตามชอบ พอสุกดีก็พักไว้ ผักกาดหอมวางบนขนมปัง มะเขือเทศและเบคอนวางทับลงไป โรยเกลือพริกไทยเสียหน่อย ใครชอบมายองเนสก็ทาลงไป พอเสร็จแล้วก็วางขนมปังอีกแผ่นลงไป เอามีดตัดตามขว้าง กินกันชาร้อน ๆ หรือว่ากาแฟ ก็อร่อยแล้วครับ

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตุ๋นดอกไม้จีน ใส่หมูสับห่อกะหล่ำปลี



มีคนอยากกินหมูสับห่อกะหล่ำปลี ก็เลยทำให้กิน วิธีการทำก็เริ่มจากเอาหมูสับมาหมักกับซีอิ้วขาว พริกไทย และ กระเทียม หมักทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้น ก็ต้มน้ำในกะทะใบใหญ่หน่อย กะว่าใส่ใบกะหล่ำปลีลงไปทั้งใบได้ ตั้งไฟให้น้ำเดือด ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย พอน้ำเดือด ค่อย ๆ ลอกใบกะหล่ำปลีออกจากหัวทีละใบ บ้างให้สะอาด ตัดก้านที่แข็งออกไปสักนิด แล้วเอาลงไปลอกทั้งใบ พลิกด้านกลับไปกลับมาเป็นระยะ ๆ พอใบเริ่มสุก สังเกตุจากว่าใบกระหล่ำปลีจะใส ก็เอาขึ้นมาจากน้ำร้อน แล้วใส่ลงไปในน้ำเย็นทันที เพื่อหยุดการสุกของใบกระหล่ำปลี ไม่งั้นมันจะเละนะครับ ทำจนหมดใบกระหล่ำปลีที่เตรียมไว้

พอเตรียมใบกะหล่ำปลีกับหมูพร้อมแล้ว ก็ห่อหมูสับโดยตักหมูสับพอประมาณวางตรงก้านใบ แล้วค่อย ๆ ม้วนไปทางปลายใบ พอม้วนได้ครึ่งทาง ก็พับเอาด้านข้างสองข้างเข้ามา แล้วค่อยม้วนต่อ จะได้แป็นก้อนทรงกระบอกที่ไม่คลายตัวง่าย ๆ พอม้วนเสร็จ ก็เตรียมน้ำซุบโดยต้มกระดูกหมู รากผักชี เม็ดพริกไทยขาวนิดหน่อย กระเทียม เกลือนิดหน่อย พอได้น้ำซุบแล้ว ก็เอาหมูที่ห่อเสร็จแล้ว วางเรียงในหม้อตุ๋น ใส่น้ำซุบลงไป ตามด้วยดอกไม้จีน ผมใช้ดอกไม้จีนไม่ฟอกสีนะครับ เลยสีดำหน่อย และผมใส่เห็ดออเรนจิลงไปด้วย เพื่อให้น้ำซุบมันหวานยิ่งขึ้น ใส่เห็ดอย่างอื่นได้ครับ แต่อย่าใส่เห็ดหอมเพราะกลิ่นมันแรงไป กลบกลิ่นอื่นหมด พอเตรียมเสร็จ ก็เอารังถึงขึ้นตั้งไฟ พอน้ำเดือด ก็เอาหม้อตุ๋นไปวาง ตุ๋นจนเห็ดนุ่มก็ปิดไฟ สามารถเติมซีอิ้วขาวและน้ำมันงานนิดหนึ่งเพื่อปรุงกลิ่นนะครับ

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แกงบ่าค้อนก้อม หรือ แกงมะรุมแบบทางเหนือ



มะรุมเป็นผักที่กินได้ทั้งยอดและฝัก แถมดอกยังสวยอีกด้วย โดนทางเหนือจะเลือกต้นมะรุมว่า ผักอีฮุม แต่จะเรียกฝักของมะรุมว่า ค้อนก้อม บ่าค้อมก้อม หรือว่า มะค้อนก้อม ตามแต่ถิ่น โดน ค้อน ในคำเมืองจะแปลว่าท่อนไม้ ส่วน ก้อม ก็แปลว่าสั้น  ดังนั้น ค้อนก้อม ก็คือ ท่อนไม้สั้น ๆ เพราะว่าฝักมะรุมนั้น ถ้าจะไม่ได้ปอกเปลือกออก จะแข็งมากเหมือนท่อนไม้นั้นเอง ส่วน คำน้ำหน้า บ่า หรือว่า มะ หมายถึงว่าเป็นฝักหรือผลไม้ที่กินได้

แกงมะรุมหรือแกงบะค้อนก้อมแบบทางเหนือนั้น จะเริ่มจากเอาฝักมะรุมมาหั่นเป็นท่อน ๆ ยาวสักเท่านิ้วชี้ แล้วปลอกเปลือกที่แข็ง ๆ ออก มาพักไว้ ระหว่างนั้นโขลกเครืองแกงคือ พริกขี้หนูแห้ง กระเทียม หอมแดง ข่า ตะไคร้ กะปิ ปลาร้าต้ม และเกลือ เข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็เอากะทะตั้งไฟแล้วก็ผัดเครื่องแกงให้หอม เติมน้ำลงไปพอประมาณ พอน้ำเดือด ก็ใส่ปลาแห้งลงไป เมื่อปลาแห้งสุกนิ่มดี ก็ฝักมะระที่ปอกเสร็จแล้วลงไป ตั้งไฟอ่อนถึงกลาง แล้วค่อย ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนฝักมะระนุ่มดี ก็ใส่ชะอม กับ ใบชะพลูหั่นหยาบลงไป บางบ้านก็จะใส่มะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ด้วย พอผักสุกดี ก็ปิดไฟครับ


วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หมูชุบแป้งทอด




อาหารญี่ปุ่นทำง่ายกินอร่อยครับ เริ่มจากเอาหมูเนื้อสันที่มีมันแทรกชิ้นขนาดประมาณฝ่ามือหนาประมาณ 1/4 นิ้วมาล้างให้สะอาด แล้วผึ่งไว้ให้แห้งนะครับ เสร็จแล้วก็ใช้ฆ้อนทุบเนื้อ หรือว่า สันมีด ทุบให้เนื้อนุ่มดีแล้วโรยโดยเกลือกับพริกไทยนิดหน่อย เสร็จแล้วก็เตรียมแป้งข้าวโพด ไข่ เกล็ดขนมปัง แล้วก็เอากะทะใบใหญ่หน่อยตั้งไฟกลางให้ร้อนใส่น้ำมันทอดลงไป พอน้ำมันร้อนดีมีไอขึ้นมาแล้ว ก็เอาหมูไปชุบแป้งข้าวโพดจนเป็นสีขาวทั่วทั้งชิ้น แล้วก็เอาไปชุบไข่ให้ทั่ว สุดท้ายก็เอาเกล็ดขนมปังโรยให้ทั้วทั้งชิ้น แล้วจึงเอาลงไปทอดในกะทะ รอให้ด้านล่างสุกแล้วจึงค่อยพลิกนะครับ อย่าพลิกไปพลิกมา เกล็ดขนมปังจะหลุดหมดนะครับ พอสุกเหลืองสวยดี ก็ยกขึ้นมาวางไว้ให้หยัดน้ำมัน แล้วก็กเอามีดหั่นให้เป็นชิ้นพอคำ

การทอดนะครับ อย่าใช้ไฟเบาเกินไป เพราะหมูจะอมน้ำมันนะครับ แต่ถ้าใช้ไฟแรงไป ด้านนอกจะสุกหรือไหม้โดยที่หมูด้านในยังไม่สุก ซึ่งถ้าหมูไม่สุกห้ามกินนะครับ อันตรายมาก

พอทำหมูเสร็จก็เตรียมเครื่องเคียงตามชอบนะครับ เช่น กิมจิ กระหล่ำปลีแช่เย็น ซุปมิโซะ ต้นหอมญี่ปุ่นผัดเนย และอื่น ๆ นะครับ

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผักกาดจอ




ผักกาดจอหรือว่าจอผักกาดเป็นอาหารที่คนเมืองคุ้นเคยกันดี วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากนัก เริ่มจากเอากระดูกหมู(บางบ้านก็ใช้หมูสามชั้น)มาต้มน้ำ ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย พอหมูสุก ก็ใส่กะปิ หรือว่าปลาร้า(คนเมืองเรียก ฮ้า) ถั่วเน่าปิ้ง และ น้ำมะขามเปียกลงไป ชิมดูว่าได้รสหรือยัง ถ้าใช้ได้แล้ว ก็ใส่ผักกาดจ้อน(ผักกาดเขียวที่มีดอก)หักเป็นท่อน ๆ ลงไป แล้วเร่งไฟให้แรง

บางบ้านจะทำอีกแบบคือ พอเอากระดูกหมูต้มกับเกลือแล้ว ก็จะตำกระเทียม หอมแดง กะปิ ปลาร้า และเกลือเข้าด้วยกัน พอหมูสุก ก็ใส่เครื่องปรุงที่ตำเสร็จแล้วลงไปในหม้อ ตามด้วย ถั่วเน่าปิ้ง และ น้ำมะขามเปียก นะครับ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าบ้านไหนจะสูตรไหน

ระหว่างที่รอผักกาดเปี่อย ก็ตั้งกะทะ เทน้ำมันหมูเพื่อทอดหัวหอมกับกับกระเทียม พอหัวหอมและกระเทียมเหลืองและผักกาดเปื่อยดี ก็เทหัวหอมกับกระเทียมในกะทะลงไปในหม้อ คน ๆ ให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยพริกแห้งทอด ก็พร้อมกินได้แล้ว

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กุ้งผัดพริกกระเทียม



วันก่อนโน้น เพื่อนมาทำทะเลปิ้งย่างกินที่บ้าน แล้วมีกุ้งเหลือใส่ตู้เย็นไว้ เอามาดม ๆ ดู ก็ไม่ค่อยสดเท่าไหร่แล้วครับ เริ่มมีกลิ่นนิด ๆ แต่ยังไม่เสีย เลยเอามาล้างให้สะอาดแล้วโรยแป้งมัน พริกไทย รากผักชีบด และเกลือ ใส่น้ำนิดหน่อย คลุกกับกุ้งให้แป้งเคลือบกุ้งไว้บาง ๆ ก็เอาไปทอดน้ำมันร้อน ๆ ให้เปลือกกุ้งกรอบ แล้วก็พักให้หยาดน้ำมัน

ระหว่างที่รอกุ้ง ก็สับกระเทียม ต้นหอม พริกชี้ฟ้า ให้เป็นชิ้นหยาบ ๆ ใส่น้ำมันลงไปในกระทะนิดหน่อย เจียวกระเทียมให้เหลืองแล้วใส่ต้นหอมและพริกลงไปตามด้วยกุ้งที่เตรียมไว้ ใส่น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว และซีอิ้วดำลงไปนิดหน่อย ผัดจนแห้งดี ก็ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยผักชีครับ

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มัสมั่น


๏ มัสมั่นแกงแก้วตา          หอมยี่หร่ารสร้อนแรง 
ชายใดได้กลืนแกง            แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา

-- กาพย์เห่ชมเครื่องคาว 
พระราชนิพนธ์ โดย 
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

เราคงคุ้ยเคยกับกาพย์ยานี 11 สองบาทนี้ ซึ่งเด็กไทยแทบทุกคนคงจะได้เคยอ่าน และคุ้นเคยกับอาหารไทย ๆ อย่างมัสมั่นเป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มัสมั่น รวมถึงแกงที่ใช้เครื่องเทศอื่น ๆ ไม่ได้กำเนิดในเมืองไทย แต่เรารับมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมัสมั่นนั้น เชื่อกันว่าเรารับมาจากมุสลิมมาลายู ผ่านมาทางภาคใต้ของไทย ซึ่งถ้าดูส่วนประกอบ อาหารชนิดนี้ ก็น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอาหารอินเดียไม่มากก็น้อย

สำหรับสูตรมัสมั่นในที่นี้นำมาจากหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งเป็นอาหารคาวชนิดแรกในหนังสือเล่มแรกของชุด อันแสดงถึงความนิยมของมัสมั่นในหมู่คนไทยได้เป็นอย่างดี สำหรับเครื่องปรุงพริกแกงมัสมั่นจะประกอบไปด้วย พริกแห้ง หอมแดง ตะใคร้ รากผักชี กะปิ ดอกจัน กระวาน อบเชย พริกไทย ยี่หร่า ลูกผักชี  จะเห็นว่า พริกแกงของมัสมั่นมีเครื่องเทศอยู่หลายชนิดมาก ซึ่งถ้าไม่สะดวกที่จะตำเอง ใช้พริกแกงสำเร็จรูปได้ครับ

เมื่อมีพริกแกงแล้ว ก็เตรียมหอมแขก น้ำมะขาม น้ำปลา น้ำตาลปึก หัวกะทิ เนื้อไก่หรือเนื้อวัว ถั่วลิสงที่เอาเปลือกออกแล้ว เตรียมไว้ สำหรับในรูปเป็นเนื้อวัวนะครับ วิธีการทำก็เริ่มจากการเตรียมพริกแกงก่อน โดยเอาเครื่องปลุงพริกแกงทั้งหมดไปคั่วให้หอมก่อน แล้วจึงเอามาโขลกให้ละเอียด แล้วใส่น้ำมันพืชลงไปในกะทะใบใหญ่ ๆ ตั้งไฟให้พอร้อน เอาเนื้อไก่หรือเนื้อวัวสับเป็นชิ้นโต ๆ ทั้งกระดูกลงไปผัดพอให้สุกเหลืองดี แล้วเทน้ำมันออก ทิ้งไปบ้าง หรือจะถ่ายไปใส่หม้อใบโต ๆ ก็ได้ เอาพริกแกงที่ตำไว้ลงไปผัดกับน้ำมัน ใส่น้ำปลาปรุงรสเสียหน่อย เมื่อเข้ากับดีแล้ว ก็เอากะทิลงไปผัดกับพริกแกง ปรุงรสด้วยน้ำตาลปึก น้ำมะขาม และน้ำปลา เมื่อได้รสดีแล้ว ก็ใส่ถั่วลิส่งลงไป ปิดฝากะทะหรือหม้อไว้ เคี่ยวจนเนื้อไก่หรือเนื้อวัวเปื่อยดี สังเกตง่าย ๆ คือ เนื้อล่อนจากกระดูกแล้ว ก็ใช้ได้

บางบ้าน ก็จะใส่มันเทศลงไปด้วยครับ แต่บางบ้านก็ไม่ใส่ และจะสังเกตเห็นว่า สูตรการทำมัสมั่นของท่านผู้หญิงเปลี่ยนนั้น เป็นแบบไทยภาคกลางครับ คือเน้นรสหวานจากน้ำตาลปึก ในขณะที่สูตรแบบมาลายูนั้น จะเน้นรสเค็มมันมากกว่า 

ข้อหน้าสังเกตอีกอย่างคือ ไม่มีการทำมัสมั่นหมู เพราะว่ามัสมั่นเป็นอาหารที่มาจากแขกมุสลิมนั่นเองครับ