วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ปอเปี้ยะทอดแผ่นเกี้ยว

เด็กที่บ้านอยากกินปอเปี้ยะทอด แต่ใช้แผ่นเกี้ยว!!!!! ที่ใส่เครื่องหมายตกใจเยอะ ๆ เพราะว่าแผ่นเกี้ยวมันเล็กมาก เล็กกว่าฝ่ามืออีก แล้วต้องเอามาม้วนมาเป็นปอเปี้ยะ แต่ก็ทำออกมาจนได้ ดังรูป



วิธีทำก็ไปดูที่ปอเปี้ยะทอดนะครับ เพราะว่ามันทำเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่าใช้แผ่นเกี้ยวมาห่อแค่นั้นเอง วิธีห่อก็ทำเหมือนกับห่อปอเปี้ยะปกติ แต่ว่าใส่ใส้ทีละนิด ๆ แค่นั้นเอง



ห่อแล้วก็จะเป็นแบบในรูปนี้



เสร็จแล้วก็เอาไปทอดนะครับ มีทริคอยู่ว่าเวลาทอดอย่าโยนปอเปี้ยะลงไปในกะทะตรง ๆ เพราะว่าปอเปี้ยะจะจมลงไปในก้นกะทะแล้วปอเปี้ยะจะติดก้นกะทะนิครับ วิธีการทอดที่ถูกต้องคือ เอาตะเกียบคีบปอเปี้ยะแล้วจุ่มลงไปในน้ำมันเดือด ๆ พอให้ด้านนอกเริ่มสุกก่อน (ดูได้จากเริ่มมีแผลผุผอง) ก็ถึงปล่อยลงไปทอดในกะทะได้นะครับ ก็ทอดไปเรื่อย ๆ จนแป้งเป็นสีเหลืองน้ำตาล ก็เอามาขึ้นมาพักน้ำมันนะครับ



ก็ทอดไปเรื่อย ๆ จนสุกหมดก็ได้เหมือนรูปข้างบนครับ จิ้มกินกันน้ำจิ้มไก่ หรือว่าน้ำจิ้มท้อก็อร่อยดีเหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้าวเหนียวปิ้ง

เด็กที่บ้านอยากกินข้าวเหนียวปิ้ง ถึงขั้นไปซื้อใบตองมาให้ ใบตองนี้ราคาแพงพอ ๆ กับผัก แต่ว่ากินไม่ได้นะครับ แต่ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ทำให้กิน



วิธีทำก็เริ่มจากเอาข้าวเหนียวมาแช่น้ำทิ้งไว้สักคืน พอเช้าก็เอารังถึงขึ้นตั้งไฟแล้วก็หุงข้าวเหนียวให้สุกนะครับ พอสุกดีแล้ว ก็เอากะทิใส่ลงไปในหม้อ เปิดไฟอ่อนหน่อย คนกะทิไปเรื่อย ๆ จนเริ่มเดือด ก็ใส่ข้าวเหนียวลงไปในหม้อนะครับ คนให้เข้ากับกะทิ แล้วก็ใส่น้ำตาลกับเกลือลงไปพอให้หวานเค็มมันนะครับ พอกะทิงวดดีแล้ว ก็ปิดไฟ แล้วทิ้งให้ข้าวเหนียวมูลเย็นนิดหนึ่ง แล้วก็เอาใบตองมาตัดให้ได้ขนาดสักสองฝ่ามือนะครับ แล้วก็ตักข้าวเหนียวมูลวางลงไปตรงกลาง ตัดกล้วยน้ำว้าเป็นชิ้นยาว ๆ วางทับลงไป แล้วเอาข้าวเหนียวทับลงไปอีกชั้น แล้วก็ห่อใบตองให้มิดชิด เสร็จแล้วก็เอาที่เย็บกระดาษเย็บหัวท้าย หรือว่าใช้ไม้กลัดกลัดไว้นะครับ จริง ๆ ถ้าแถวบ้านจะห่อให้เป็นแบบสามหลี่ยมนะครับ แต่ห่อยาว ๆ เย็บหัวท้ายก็ง่ายดี ทำจนข้าวเหนียวหมดหม้อนะครับ แล้วก็เอาไปปิ้งจนใบตองเหลืองกรอบ ก็เอามากินได้นะครับ

ข้าวเหนียวเปียก



เด็กที่บ้านอยากกินข้าวเหนียวเปียก พอดีมีข้าวโพดต้มกับเผือกต้มอยู่ ก็เลยได้ทำข้าวเหนียวเปียกเผือกกับข้าวโพด (จริงๆ เจ้าตัวคงอยากกินข้าวเหนียวเปียกลำใย แต่ลำใยมันหายากหน่อย) วิธีทำ ก็เริ่มจากเอาข้าวเหนียว(ที่ยังไม่ได้หุงนะครับ) ใส่หม้อแล้วก็ใส่น้ำลงไปให้พอท่วมข้าวแล้วก็เปิดไฟปานกลางแล้วก็คนไปเรื่อย ๆ ไม่งั้นข้าวจะใหม้ก้นนะครับ พอน้ำเดือดก็หรี่ไฟลง แล้วก็คนไปเรื่อย ๆ คอยสังเกตุดูว่าข้าวเริ่มบานหรือยัง พอเริ่มบานนิด ๆ ก็ใส่น้ำตาลลงไปนะครับ ถ้าใส่น้ำตาลลงไปช้า ข้าวจะเละง่ายนะครับ แต่ถ้าใส่ไวไป ข้าวจะแข็งใน หลังจากใส่น้ำตาลลงไปแล้วก็คนไปเรื่อย ๆ พอข้าวบานสุกดีแล้ว ก็ใส่ข้าวโพดต้มกับเผือกต้มที่หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วลงไปนะครับ ถ้าไม่ได้ต้มข้าวโพดและเผือกมาก่อน ก็ใส่ไปตอนที่ใส่น้ำตาลก็ได้ครับ หลังจากนั้น ก็ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย แล้วก็คนช้า ๆ ไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็ไปทำน้ำกะทินะครับ เอาหัวกะทิใส่ลงไปในหม้ออีกใบเปิดไฟต่ำ หมั่นคนไปเรื่อย ๆ พอกะทิร้อน ก็ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย พอให้ได้รสเค็มนิด ๆ ถ้าไม่มีหัวกะทิ ก็ใช้น้ำกะทิธรรมดา แต่เติมแป้งมันลงไปนิดหน่อยให้กะทิข้นขึ้นนะครับ พอข้าวเหนียวสุกได้ที่แล้ว ก็ตักใส่ถ้วย ราดกะทิลงไป ก็กินได้แล้วนะครับ :)

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

กะหล่ำปลีทอดซีอิ้วขาว

เด็กที่บ้านกินเจ(มัง?) ก็เลยทำอาหารเจให้กิน บังเอิญว่าที่บ้านมีกะหล่ำปลี เลยนึกถึงกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาขึ้นมา พอดีว่าเป็นอาหารเจ ก็เลยกลายเป็นทอดซีอิ้วแทน อย่างแรกก็เอากะหล่ำปลีไปล้างให้สะอาดก่อนเสร็จแล้วก็เอากะหล่ำปลีไปต้มในน้ำเดือด พอใบเริ่มใสก็เอาขึ้นมาแช่น้ำเย็นให้กะหล่ำปลียังกรอบอยู่ พอกะหล่ำปลีเย็นแล้วก็เอาขึ้นมาจากน้ำแล้วทิ้งไว้ให้น้ำแห้งดี ขณะเดียวกันก็เอากะทะใหญ่ตั้งไฟให้ร้อนที่สุด ใส่น้ำมันลงไปพอควร พอน้ำมันร้อนดีก็เอากระหล่ำลงไปทอดน้ำมัน ไม่ต้องพลิกบ่อย ๆ แล้วก็ทอดไปจนใบกะหล่ำปลีเริ่มใหม้ ตอนที่เริ่มใหม้นี่แหละครับที่กะหล่ำปลีจะมีกลิ่นหอมมาก



พอกะหล่ำปลีสุกดีแล้ว ก็เอาขึ้นมาพักไว้ ในขณะเดียวกันก็หรี่ไฟลงแล้วก็เอาน้ำใส่ลงไปในกะทะนิดหนึ่งแล้วแกว่งกะทะไปมาให้น้ำล้างน้ำมันลงมารวมไว้ เสร็จแล้วใส่ซีอิ้วขาวลงไปให้ได้รสเค็มนิด ๆ แล้วก็เร่งไฟ คอยหมั่นเอาตะหลิวคนในกะทะไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ใหม้ที่ก้นกะทะ พอน้ำในกะทะเริ่มเหนี่ยวนิด ๆ ก็เอากะหล่ำปลีลงไปคลุกกับน้ำซีอิ้วในกะทะนำครับ พอน้ำซีอิ้วเริ่มแห้งดี ก็ตักใส่จานได้เลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ทอดมันข้าวโพด

จู่ๆ เกิดอยากกินทอดมันข้าวโพดมา สูตรที่พระมารดาทอดให้กินนั้นแทบเรียกได้ว่าหมูล้วน กรอบนอกนุ่มใน ซึ่งหาได้ยากเวลาไปกินตามร้านนอกบ้าน ซึ่งพวกนั้นเหมือนแป้งทอดใส่ข้าวโพดมากกว่า

จู่ๆ พระมารดาก็โทรมาหาพอดี เลยสอบถามสูตรจนเป็นที่เข้าใจกันดี ก็ได้เวลาลงมือสนองความอยาก

ส่วนประกอบ
  1. เนื้อหมูบด 1 แพ็ก
  2. ข้าวโพด สูตรต้นตำรับใช้ข้าวโพดฝักมาฝานเอา อยู่เมืองนอกมันหายากใช้ข้าวโพดกระป๋อง Sweetcorn แทน อย่าลืมรินน้ำออกให้หมดด้วย เดี๋ยวทอดมันจะแฉะ
  3. แป้งอะไรก็ได้ เอามาทำให้เนื้อหมูเกาะติดกันเป็นก้อน
  4. พริกไทย เกลือ ซีอิ๊ว น้ำมันหอย กระเทียมสับละเอียด
แป้งได้รับบริจาคมา ส่วนข้าวโพดเป็นข้าวโพดกระป๋อง หาซื้อได้ตามซูเปอร์ทั่วไป

ขั้นแรกให้หมักหมูโดยใส่กระเทียมสับ เกลือ น้ำมัน พริกไทย ซีอิ๊ว น้ำมันหอย (ปริมาณก็มั่วๆ เอาเอง) คลุกๆ ให้เข้ากัน ทิ้งไว้สักพักพอเครื่องปรุงเริ่มเข้าเนื้อแล้ว ก็ใส่ข้าวโพดลงไปพอประมาณ อย่าใส่เยอะเกิน

จังหวะนี้เริ่มใส่แป้งทีละนิด คลุกให้เข้ากับเนื้อหมู จะใช้ช้อนหรือมือก็ได้ (จังหวะนี้ผมยังใช้ช้อนอยู่) ถ้าสูตรต้นตำหรับต้องตำใส่ครก เผอิญว่าไม่มีก็ดัดแปลงเป็นคลุกในทัพเปอร์แวร์แทน ใส่แป้งทีละนิดจนหมูเริ่มจับตัวกันเป็นก้อน ก็ได้เวลาปั้น

เกิดมาชาตินี้ไม่เคยปั้นทอดมันมาก่อน ก็มั่วๆ เอา รู้แต่ว่าไอ้หนูซูชิใช้สามนิ้วปั้นข้าวปั้น แต่ทอดมันต้องใช้ทั้งมือ ก็เอาให้ได้เป็นก้อนพอประมาณ ไม่ต้องสวยมาก เพราะตอนทอดข้าวโพดมันจะหลุดออกมาอยู่ดี

ตั้งกระทะไฟแรง max แล้วเอาทอดมันลง ระวังน้ำมันดีดใส่ด้วยเพราะในข้าวโพดกระป๋องมีน้ำอยู่เยอะ ทอดนานแค่ไหนก็แล้วแต่ชอบ โดยส่วนตัวชอบกินแบบเกรียมๆ คือทอดจนเป็นสีน้ำตาลแล้วเอาขึ้นมาพักไว้บนกระดาษ
เวอร์ชันเพอร์เฟคต์ต้องกินกับน้ำพริกตาแดง เผอิญว่าไม่มีเลยแก้ขัดโดยใช้น้ำปลา+พริกป่นแทน กินกับข้าวสวยอย่างเดียวก็พอเพียง

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เห็ดชิเมจิผัดกุ้ง

วันนี้เจ็บคอเล็กน้อย แถมฝนตกอีกเลยอดหนีเที่ยว อยู่บ้านทำข้าวต้มทาน


ซื้อเห็ดชิเมจิมาเมื่อวันก่อน เห็นว่าหน้าตาน่ารักดี ดูจากโหงวเฮ้งแล้วคิดว่าน่าจะเข้ากันได้ดีกับน้องกุ้งขาว


เริ่มจากตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไป ให้มีไอน้ำมันออกมานิดๆ ก็ใส่กุ้งลงไป พอเริ่มเปลี่ยนสีก็ลงเห็ดชิเมจิ เทน้ำตามไปนิดหน่อย ตามด้วยซอสหอยนางรม ซีอิ้ว น้ำตาล คลุกอีกทีแล้วเอาน้ำแป้งใส่ไปนิดให้พอหนืด พอจะเอาขึ้นก็โรยพริกไทยป่น


กินข้าวต้มน่าจะมีของเค็มซักหน่อย เลยเอาปลาข้าวสารที่พกจากเมืองไทยมากินแกล้มอีกอย่าง เวลากินเลยต้องแช่น้ำข้าวต้มให้หายกรอบสักหน่อย เดี๋ยวจะบาดคอเอาได้ค่ะ

ข้าวผัดน้ำพริกอ่อง

เนื่องจากติดเกาะได้เกือบเดือน เริ่มคิดถึงอาหารเมืองๆ หยิบพริกแกงส้มของโลโบ้มาซองนึง วิธีทำก็มั่วๆ ตามนี้เลยเจ้า

  • หุงข้าวรอก่อนเลย ระหว่างรอข้าวสุกก็เตรียมวัตถุดิบไปพลางๆ
  • หมักหมูสับ 2 ขีดด้วยกระเทียมสับ กับเครื่องปรุงตามชอบ จากนั้นเติมตักเอาพริกแกงมา 2 ช้อน ผสมลงไปด้วยกัน
  • หยิบมะเขือเทศลูกใหญ่มา 2 ลูก หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กหน่อย แล้วเอามือบีบให้น้ำมะเขือเทศออกมา
  • มื้อนี้อยากกินไข่ต้มด้วย เลยเปิดอีกเตาทำไข่ต้มไปพร้อมๆ กัน
  • ตั้งกระทะด้วยไฟอ่อน เทน้ำมันลงไปนิดหน่อย พออุ่นๆ ก็ใส่พริกแกงที่เหลือทั้งซองลงไปคั่ว
  • พอพริกแกงเริ่มหอม (แอบจามไปหน่อยนึง) ก็ใส่หมูลงไป จนหมูเริ่มสุกนิดๆ ก็เทมะเขือเทศตามลงไป เทน้ำเพิ่มอีกนิดหน่อย เนื่องจากพริกแกงส้มจะเปรี้ยวกว่าน้ำพริกอ่อง เลยต้องปรุงด้วยน้ำปลากับน้ำตาลเพิ่มอีกซักนิด

  • พอน้ำเริ่มขลุกขลิกแล้วก็ถึงเวลาเอาข้าวสวยลงไปคลุกในกระทะจนเข้ากันดี ส่วนไข่ต้มก็พอดีสุก จัดใส่จาน หน้าตาก็เป็นเช่นนี้แล.. ดูขาดสีสันไปหน่อย ถ้าได้แตงกวากับผักลวกอีกนิดคงแจ่มน่าดู

Pork chop steak

เปิดตู้เย็นมา มีแต่ความว่างเปล่า ค้นไปค้นมาเจอ pork chop อยู่ในช่องแช่แข็งตั้งแต่ชาติที่แล้วก็เลยเอามาย่างกินซะเลย


วิธีทำก็เริ่มจากเอาหมูมาละลายน้ำแข็งซะก่อน เสร็จแล้วก็เอาไปหมักกับกระเทียมสับ ลูกผักชีบด พริกไทย ซอสคิโคแมน(จริง ๆ ใช้ซีอิ้วขาวก็ได้ แต่อย่าใช้น้ำปลา) และน้ำมันมะกอกนะครับ หมักทิ้งไว้สักพักแล้วก็ไปซอยกระหล่ำปลีทิ้งไว้ พอหมูหมักได้ที่ก็เอากะทะตั้งไฟเกือบแรงสุดนะครับพอกะทะร้อนได้ที่ ก็เอาหมูลงไปย่างคอยพลิกไปพลิกมาไม่ให้หมูใหม้ พอหมูเริ่มสุกก็ขยับหมูไว้ที่ขอบกะทะ แล้วก็เอากระหล่ำที่ซอยไว้ลงไปผัดในกะทะเดียวกัน ใส่น้ำมันมะกอก ซอสหอยนางรม พริกไทยนิดหน่อย ผัดไปผัดมาจนผักนุ่มนะครับ น้ำที่ไหลออกมาจากผักจะช่วยให้หมูไม่แห้งเกินไปด้วยนะครับ ในขณะเดียวกัน ผักก็จะซับเอากลิ่นและรสของหมูไปด้วย ทำให้รสของผักไม่ชืดเกินไป พอสุกได้ที่แล้วก็เอาขึ้นใส่จานกินกับข้าวได้เลยครับ ที่สำคัญคือต้องแน่ใจว่าหมูสุกนะครับ กินหมูไม่สุกนี่ไม่ปลอดภัยนะครับ :)

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เนื้อตุ๋นเห็ดหอม



มีเนื้อเหลืออยู่ในตู้เย็นนานแล้วก็เลยเอามาตุ๋นซะเลย ขั้นตอนก็เริ่มจากหั่นเนื้อเป็นชิ้นลูกเต๋านะครับเวลาตุ๋นจะได้ไม่เละเกินไป แล้วก็เอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟนะครับ ถ้ามีหม้อดินก็จะดีกว่าหม้อเหล็กนะเพราะว่าจะกระจายความร้อนได้ดีกว่า พอน้ำเดือดก็เอาเนื้อใส่ลงไปพร้อมกับหรี่ไฟนะครับแล้วก็ใส่ซอสหอยนางรม ซีอิ้วขาว และซีอิ้วดำนะครับ ระหว่างนั้นก็เอากระเทียมมาโขลกกับพริกไทยเม็ดและลูกผักชีนะครับ พอโปลกได้ที่แล้วก็เอาไปใส่ในหม้อแล้วก็เคี่ยวเนื้อไปเรื่อย ๆ พอเนื้อสุกก็ใส่เห็ดหอมลงไป ปิดฝาเคี่ยวไฟอ่อนสุดไปสักสองชั่วโมงนะครับ คอยดูว่าน้ำงวดหรือเปล่า ถ้างวดก็ใส่น้ำลงไปเพิ่มบ้าง พอเนื้อนุ่มได้ที่ก็กินได้แล้วครับ

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ซาลาเปาไส้ไ่ก่เห็ดหอม


(ปั้นได้ห่้วยมาก แต่ละลูก ปุๆปะๆ ฮ่าๆๆ มือใหม่ๆ)

(โดนแม่กำกับว่า อย่างก ใส่ไส้เยอะๆ เลยทะลักล้นอย่างในภาพ)

เกิดคึก นึกอยากทำซาลาเปาเองขึ้นมา เลยไปเดินหาซื้อแป้ง พยายามจะหาแป้งสำเร็จรูปแต่หาไม่เจอ เคยเปิดเจอในอินเตอร์เนตว่า เค้าใช้แป้งสาลีผสมกับยีสต์เอาก็ได้ แต่ต้องออกแรงนวดดีๆ ก็โอเค ลองดู...

(สูตรนี้ออกมาได้ซาลาเปาแบบดั้งเดิมคนจีนทำมากเลย คือไม่ฟูแ่ต่จะออกแนวเหนียวแน่นมากกว่า)

ขั้นตอนแรก เอาแป้งสาลี 4 ถ้วยตวง ผสมกับ ยีสต์ผง 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน จากนั้นตวงน้ำเปล่า(หรือนมสด) 1 ถ้วย ผสมน้ำตาล 4 ช้อนโต๊ะ กับเกลือ 1/4 ช้อนชา พอละลายแล้ว ก็เติมลงไปในแป้งที่ผสมกับยีสต์ คนให้พอเหลว จากนั้นใช้มือนวด ใช้อุ้งมือนวดไปเรื่อยๆ จนแป้งกลายเป็นก้อนนวลดีแล้ว พักแป้งไว้ราว 1 ชั่วโมง โดยใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆคลุมไว้ ไม่ให้แป้งแห้ง

ต่อมาก็เริ่มทำไส้...เนื่องจาก แต่เดิมคิดไว้ว่าจะใช้ไส้ไข่พะโล้ขาหมูที่ซื้อมา แต่ด้วยความที่ทำแป้งไว้เยอะ เลยต้องทำไส้เพิ่ม ในตู้เย็นไม่มีหมูสับ มีแต่เนื้อไ่ก่ เลยเอามาบด ผสมกับหัวหอมใหญ่และแครอทซอยหยาบๆ และเห็ดหอม ปรุงด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมันงา น้ำตาล พริกไทย คลุกให้เข้ากัน (ไส้ควรจะออกรสจัด หวานจัด เค็มจัด ไม่เช่นนั้นเวลากินกับซาลาเปาจะพากันจืดมาก) แล้วพักไว้

ตัดกระดาษรองซาลาเปารอไว้ กะให้พอดีกับขนาดของซาลาเปาที่เราจะปั้น พยายามอย่าใช้กระดาษสำหรับพิมพ์ เนื่องจากอาจะได้บริโภคสารเคมีเ้ข้าไปโดยไม่รู้ตัว (หากไม่มีใช้กระดาษฟรอยส์ห่ออาหารก่อนได้)

เมื่อแป้งฟูได้ที่แล้ว นำมาคลึง ใช้ไม้นวดแป้ง รีดเอาอากาศในแป้งออกให้หมด จากนั้นนวดและตัดไว้เป็นก้อนๆ เท่าๆกัน เริ่มใส่ไส้ นำแป้งที่ตัดแล้วมาแผ่ให้ได้เป็นแผ่นบางๆกลางฝ่ามือค่อยๆ ประคองด้วยการช้อนมือเป็นอุ้ง แล้ววางไส้ลงไป ค่อยๆจับจีบปิดขอบให้สวยงาม (เนื่องจาก จริตของแม่บ้านแม่เรือนมีอยู่น้อยนิด เลยไม่สามารถในการจีบ เลยไม่ได้ทำ)จับซาลาเปาที่ห่อเสร็จแ้ล้ววางบนกระดาษ พักไว้ให้แป้งขึ้นฟูอีกราวๆครึ่งชัี่วโมง จากนั้นทำไปนึ่งประมาณ 10 นาที ก็จะได้ซาลาเปาร้อนๆไว้กินกัน ^^

** ได้บทเรียนว่า ส่วนไส้ไม่ควรจะเอาไปนึ่งให้สุกก่อน เพราะพอเอามาทำไส้แล้ว เลยแห้งและไม่ชุ่มฉ่ำ (ดันทำตามสูตรของคนนึง ที่ให้เอาไส้ไปนึ่งก่อน Y_Y)
** ควรจะทิ้งแป้งให้เซทตัวก่อน ถึงจะนำไปนึ่ง ซาลาเปาจะได้ฟูนุ่ม
** เวลาห่อ ควรใจเย็น จับจีบให้ดีๆ ไม่เช่นนั้น ไส้อาจจะทะลักออกมาตอนนึ่งได้
** สรุป ไส้ไข่พะโล้ขาหมู อร่อยที่สุด เพราะเค้าปรุงมาอร่อยอยู่แล้ว รสหวานกลมกล่อม U_U

** คราวหน้าจะลองสูตรผสมแป้งเค้กและผงฟูแทน เค้าว่าซาลาเปาจะฟูและนิ่มกว่าแบบนี้มาก

หน่อไม้ฝรั่งผัดเบคอน

ใจจริงแล้วตั้งใจจะทำหน่อไม้ฝรั่งผัดกุ้ง เหมือนเมนูตามร้านทั่วไป แต่เดินไปซูเปอร์แล้วปรากฎว่ากุ้งหมด เลยต้องพลิกแพลงทำเป็นอย่างอื่นแทน เผอิญที่บ้านมีเบคอนเหลือก็เลยทำสูตรเดียวกับ เซเลรี่ผัดเบคอน ส่วนหอมแดงเผอิญมีเหลืออยู่ครึ่งหัวเช่นกัน เลยใส่ไปให้หมดๆ ของจะได้ไม่ต้องค้างตู้เย็นนาน