วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551

แกงไก่ใส่ฟัก


แกงไก่ใส่ฟักเป็นอาหารเหนือที่ทำง่าย ๆ ครับ (อย่างที่บอกยาก ๆ เราไม่ทำ :P) เครื่องปรุงก็มีไม่เยอะ อย่างแรกที่ต้องมีก็คือไก่ พยายามเอาแบบมีกระดูกก็จะดีครับ น้ำซูปจะหวานกว่ามีแต่เนื้อ ก็เอาไก่มาสับ ๆ แล้วก็พักไว้ เสร็จแล้วก็เอาฟักเขียว(คนเหนือเรียกฟักหม่น)มาหั่นเป็นชิ้นพอคำนะครับ เสร็จแล้วก็ทำน้ำพริกแกง ก็ใช้พริกแห้ง(แช่น้ำไว้หน่อยก็ได้ จะได้นุ่มหน่อย) กระเทียม หอมแดง กะปิ แล้วก็เกลือป่น แค่นี้แหละครับ ตำให้เข้ากัน เน้นรสเผ็ดนำนะครับ พอน้ำพริกเข้ากันดีแล้ว ก็เอาลงไปผัดกับน้ำมันในกะทะให้พอหอม ก็เอาไก่ใส่ลงไปผัดกับน้ำพริกจนไก่พอสุก ก็ใส่น้ำลงไปกะให้ท่วมฟักนะครับ แล้วก็ใส่ฟักลงไป ต้มไปเรื่อย ๆ จนฟักนุ่มหรือว่าใสก็แสดงว่าฟักสุกดีแล้วครับ ก็ฉีกใบมะกรูดโรย ๆ แล้วก็คนเล็กน้อยพอหอม ก็ยกลงได้แล้วครับ :)

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2551

แกงบวดฟักทอง

มาทำขนมกันดีกว่าครับ :) พอดีไปได้ฟักทองมาจากตลาด ก็เลยจะทำแกงบวดฟักทองกันเพราะที่บ้านก็ดูท่าจะชอบกินกัน

อันดับแรกก็เอาฟักทองมาล้างแล้วก็หั่นเอาเปลือกกับเม็ดออกก่อนนะครับ



ที่เห็นในรูปนั่นคือมีดคู่กายผมเองครับ (สังเกตุว่าด้ามจะแตกด้วย ถ้าไม่แตก ไม่ใช่ของจริง) เวลาทำครัวจริง ๆ มีแค่มีดดี ๆ กะทะก้นกลม ตะหลัวดี ๆ สักอัน แล้วก็เตาไฟแรง ๆ ก็พอแล้วครับ (ที่ว่ามา ที่บ้านมีแต่มีดที่พอใช้ได้ T_T ) เสร็จแล้วก็หั่นฟักทองเป็นชิ้น ๆ นะครับ แนะนำให้หั่นเป็นชิ้นยาว ๆ แบบในรูปข้างล่างนะครับ จะสุกง่ายแล้วก็ทั่วถึงนะครับ พอหั่นเสร็จก็เอาไปล้างน้ำ ถ้ามีน้ำปูนใสก็เอาไปแช่น้ำปูนใสไว้สักสิบนาทีแล้วค่อยเอาไปล้างน้ำนะครับมันจะได้กรอบนอกนุ่มใน พอล้างน้ำสะอาดดีแล้วก็เอามาผึ่งให้แห้งครับ



ถ้าดูจากในรูปจะเห็นว่าฟักทองวันนี้จะไม่แก่มากครับ ข้อดีคือเวลาต้มมันจะไม่เละ ข้อเสียคือเวลาต้มมันจะไม่เละ :P ถ้าใครชอบฟักทองเละ ๆ ก็ควรเลือกที่แก่หน่อยครับ ลองเอานิ้วกดดูก็ได้ ถ้ากดแล้วเนื้อจมลงไปก็แสดงว่าแก่ใช้ได้ครับ พอล้างฟักทองเสร็จก็เอากะทิตั้งไฟอ่อน ๆ แล้วก็หมั่นคนเรื่อย ๆ นะครับ อย่าให้กะทิแตกมันเสร็จแล้วก็ใส่น้ำตาลทรายแดงหรือว่าน้ำตาลมะพร้าวลงไป (อย่าใช้น้ำตาลทรายขาวครับ ไม่หอม) แล้วก็ใส่เกลือลงไปด้วยให้มันเค็ม ๆ มัน ๆ ครับ พอกะทิเริ่มเดือดปุ๊ด ๆ ก็ใส่ฟักทองลงไป แล้วก็คนช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ ครับ



พอเนื้อฟักทองเละดี ก็กินได้แล้วครับ บางคนก็ชอบโรยงาคั่ว แต่ผมกินเปล่า ๆ ก็อร่อยแล้วครับ

รูปข้างล่างนี่ เนื่องจากฟักทองมันไม่แก่มากนะครับ (ที่บ้านเรียก มันยังหนุ่มอยู่) สีมันเลยออกมาจืด ๆ หน่อยไม่ออกสีส้มมากนะครับ หน้าตาไปเหมือนมันเชื่อมซะงั้น

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

ปลานึ่งมะนาว



เด็กที่บ้านอยากกินปลานึ่งมะนาว พอดีมี Seaperch (มั้ง)อยู่ที่บ้านตัวหนึ่งพึ่งซื้อมา ก็เลยเอามาจัดการซะ ขั้นตอนแรกก็คือเอาปลามาล้างให้สะอาดก่อน เสร็จแล้วก็ผ่าท้องควักใส้ออก ล้างให้สะอาด เสร็จแล้วก็เอามีดเจียนซะหน่อย ให้ปลาสุกง่ายและน้ำซุบซึมเขาเนื้อปลาได้ง่าย



พอจัดการปลาเรียบร้อยแล้ว ก็เอาตะไคร้มาทุบ ๆ ตามด้วยใบมะกรูดฉีก ๆ ใส่ไว้ในจาน แล้วก็เอาปลาวางทับลงไป แล้วก็เอาไปนึ่งสัก 15 - 20 นาที หรือก็กะว่าให้ปลาสุก แต่อย่านึ่งนานะครับ เดี๋ยวเนื้อปลาจะแข็งไป



ระหว่างนั้น ก็เตรียมน้ำราดนะครับ วิธีการทำก็เตรียมน้ำซุบ ใช้น้ำซุบไก่ก็ได้ครับง่ายดี แต่ถ้ามีพวกน้ำซุบปลาก็จะดีมาก เสร็จแล้วก็ใส่กระเทียมสับ พริกขี้หนูสับ มะนาว น้ำปลา ลงไปแล้วก็ตั้งจนเดือดนะครับ แล้วก็ชิม ๆ ดูว่าได้รสหรือยัง ถ้าได้แล้ว ก็เอาปลาขึ้นจากเตา จัดใส่จาน ราดด้วยน้ำราด โรยหน้าด้วยต้นหอมผักชี ก็กินได้แล้วครับ


วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

ข้าวแกงกะหรี่หมูชุบแป้งทอด



เด็กที่บ้านอยากกินข้าวแกงกะหรี่หมูชุบแป้งทอด และพอดีว่ามีหมูชิ้น (Pork chop) ขนาดพอดี ๆ อยู่ก็เลยทำซะเลย

ขั้นตอนแรก ก็เริ่มจากเอาหมูมาหมักก่อนครับ ตอนหมักผมก็ใช้ซีอิ้วขาวญี่ปุ่น (Kikkoman) พริกไทย แล้วก็กระเทียมครับ หมักทิ้งไว้สักชั่วโมงให้เข้าเนื้อ ตามรูปเลยนะครับ



พอกะว่าหมูได้ที่แล้ว ก็เอาน้ำมันตั้งไฟให้ร้อนพอประมาณ แล้วก็ตอกไข่ใส่ชามไว้ตีให้ไข่ขาวกับไข่แดงเข้ากันดี อีกชามก็ใส่แป้งสาลี และชามสุดท้าย ใส่เกล็ดขนมปังนะครับ เสร็จแล้ว ก็เอาหมูลงไปคลุกกับแป้งสาลีให้แป้งติดทั่วทั้งช้ิน ตามรูปนะครับ



เสร็จแล้วก็เอาหมูลงไปชุบไข่ให้ทั้วทั้งชิ้น อย่าแช่ไว้นานมากนะครับ เดี๋ยวแป้งหลุด



แล้วก็เอาไปชุบกับเกล็ดขนมปังให้ทั่ว ๆ นะครับ พยายามชุบให้เยอะ ๆ ไม่ต้องกลัวเปลืองนะครับ (ในรูปยังชุบไม่เยอะพอนะครับ ยังติดไม่ทั่ว)



เสร็จแล้วก็เอาหมูลงไปทอดในน้ำมันนะครับ หมั่นพลิกไปพลิกมา จนแป้งข้างนอกเหลืองจนเป็นสีน้ำตาลนะครับ ก็เอาขึ้นมา ก็ทอดทีละชิ้นไปเรื่อย ๆ จนหมด เสร็จแล้วก็เอามีดหั่นหมูเป็นชิ้น ๆ นะครับ



ระหว่างนั้นก็เตรียมทำน้ำแกงกะหรี่นะครับ วิธีการทำก็ไปดูที่หน้าข้าวแกงกะหรี่เนื้อ นะครับ

พอทำเสร็จหมดแล้ว ก็ตักข้าวสวยร้อน ๆ วางหมูลงไปชิ้นหนึ่งแล้วราดด้วยน้ำแกงกะหรี่ ก็เสร็จแล้วครับ :D

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2551

ปลาซาบะย่างซีอิ้ว



จริง ๆ จานนี้ทำไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้เอาขึ้นเว็บสักที ขั้นตอนการทำก็ไม่ยาก(เช่นเคย เพราะยาก ๆ ทำไม่เป็น)ครับ เริ่มจากเอาปลามาล้างให้สะอาด ผมใช้ปลาแมคเคอเรล หรือว่าปลาซาบะในภาษาญี่ปุ่นนะครับ พอข้างนอกสะอาดดีแล้ ก็เอามีคม ๆ ผ่าท้องเอาใส้ออกแล้วก็ล้างท้องให้สะอาด ก่อนจะใช้มีดคม ๆ ผ่าตามยาวนะครับ ให้ได้สองชิ้น แล้วจะเลาะก้างออกก็ได้ หรือว่าจะทิ้งไว้ก็ได้ครับ แล้วก็พักทิ้งไว้ให้แห้ง

ต่อมาก็เอาซีอิวขาวญี่ปุ่น (Kikkoman นั่นแหละครับ) เทเยอะ ๆ เลยใส่ถ้วยไว้ ตามด้วยน้ำมันงา (Sesame oil) สัก 5:1 ส่วนนะครับ แล้วก็คนให้เข้ากัน แล้วก็ราดลงบนปลาให้ชุ่ม ทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงให้ซีอิ้วมันเข้าเนื้อ เสร็จแล้วก็เอาไปเข้าเตาอบ กะๆ ดูให้ด้านนอกเป็นสีเหลือง ก็กินได้แล้วครับ

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551

Sirloin Steak

เจอเนื้อ Sirloin ลดราคาเลยซื้อมาลองทำ เริ่มต้นจากหมักเนื้อก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งผมนั่งดูรายการ Jamie (Oliver) at Home ทุกสัปดาห์เลยพอรู้วิธีหมักเนื้ออยู่บ้าง เอาเนื้อออกมาจากฟรีเซอร์ ดีฟรอสต์สักหน่อยด้วยไมโครเวฟ เอาส้อมจิ้มให้พอเป็นรูๆ แล้วใส่เกลือ พริกไทย น้ำมันพืช เผอิญแฟลตเมทมีเครื่องเทศอิตาเลียน (ออริกาโนกับอะไรอีกไม่รู้) เลยจิ๊กมาใส่อีกเล็กน้อย

หมักนานแค่ไหนนี้ไม่รู้ ของผมกินเย็นก็เริ่มหมักบ่ายๆ โดยใส่ตู้เย็นช่องธรรมดาไว้ด้วย

เป็นพ่อบ้านยุค .NET นี้หาสูตรอาหารแสนสะดวก ประเด็นที่ต้องตัดสินใจคือบางสูตรใช้อบ บางสูตรใช้ทอด ปรึกษากับทางเมืองไทยแล้วพบว่าทอดแล้วอบ น่าจะเข้าทีที่สุด

Sirloin Steak


ตั้งกระทะให้ร้อนแล้วใส่เนยลงไป อย่าลืมกลับเนื้อ กะว่าผิวๆ มันสุกแล้วก็ยกลงจากเตา

Sirloin Steak


เผอิญที่บ้านไม่มีผักอะไรอื่นเลยนอกจากหอมใหญ่ ผัดแยกก่อนแล้วใส่รวมกับเนื้อก่อนเอาเข้าเตาอบ (ยกกระทะเข้าไปทั้งอันเลย)

Sirloin Steak


อบนานเท่าไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน กะๆ เอา ลองหั่นดูปรากฎว่าเนื้อมัน well done เกินไปเล็กน้อย (ผมชอบ medium rare) ไม่เป็นไร คราวหน้าแก้ตัวใหม่

Sirloin Steak


คราวนี้ก็ขอกินก่อน ปรุงเกรวี่โดยใส่แป้งเล็กน้อย (หยิบยืมจากแฟลตเมทเช่นกัน) พริกไทยอีกหน่อย ผมรู้สึกว่าสีมันไม่ค่อยดำเลยแถมซีอิ๊วดำลงไปอีกนิดนึง

สรุปว่าทำเสต๊กเนื้อครั้งแรกในชีวิตรอบนี้ ไม่เลวทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551

สปาเก็ตตีมีทบอล



เด็กที่บ้านอยากกินสปาเก็ตตีมีทบอล (Spaghetti Meatballs) ครับ ซึ่งเจ้า"ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อ"ฝรั่งนี่ แต่ละบ้านจะมีสูตรการทำลูกชิ้นเนื้อไม่เหมือนกันนะครับ สำหรับผม ส่วนผสมของลูกชิ้นเนื้อก็ประกอบไปด้วยเนื้อวัวบด เกล็ดขนมปัง ไข่ นมสด หอมหัวใหญ่ ซอสมะเขือเทศ แล้วก็เครื่องเทศที่ชอบ (ผมชอบ oregano ก็ใส่เข้าไป) ขั้นแรก ก็เอาหอมหัวใหญ่มาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอาไปผัดกับน้ำมันจนเหลืองทองก่อน เสร็จแล้วก็ตอกไข่ใส่ชามใหญ่ ๆ ใส่นมลงไปแล้วก็ตีไข่กับนมให้เข้ากัน ตามด้วยเกล็ดขนมปัง พอเข้ากันดีแล้ว ก็ใส่เนื้อสับลงไป ตีไปเรื่อย ๆ ให้เหนียวแล้วก็ใส่ซอสมะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ เครื่องเทศ แล้วก็ตีไปเรื่อย ๆ จนเหนียวตามรูปนะครับ



เสร็จแล้วก็เอากะทะแบน ๆ ตั้งไฟใส่น้ำมันมะกอกลงไป แล้วก็ปั้นเนื้อให้เป็นก้อนแล้วก็เอาลงไปทอดนะครับ คอยหมั่นพลิกไปเรื่อย ๆ จนข้างนอกสุกเกรียม ก็เอาขึ้นมาพักไว้ตามรูปนะครับ



ต่อมาก็ต้มเส้นสปาเก็ตตีกับทำซอสสปาเก็ตตีครับ ซอสสปาเก็ตตีนี่ก็แล้วแต่คนชอบ ผมจะชอบ Tomato-Basil ซึ่งก็ทำไม่ยากครับ เอาซอสมะเขือเทศมาเคี่ยวไฟอ่อน ๆ ใส่ Basil ลงไป ตามด้วยเกลือกับพริกไทยนิดหน่อย ก็ชิมรสตามชอบนะครับ พอเส้นสุกดีแล้ว ซอสมะเขือเทศได้ที ก็เอาเส้นใส่จาน วางลูกชิ้นเนื้อที่สุกแล้วแปะลงไป แล้วก็ราดด้วยซอสก็เสร็จแล้วครับ :D

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2551

ยำเนื้อย่าง

จริง ๆ ก็ทำวันเดียวกับก้อยกุ้งนั่นแหละครับ แต่ค่อย ๆ ทยอยเอามาลง :D



หน้าตาก็ตามรูปนะครับ วิธีการทำ ก็คล้าย ๆ กับก้อยกุ้ง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนมาใช้เนื้อแค่นั้นเอง :P ซึ่งการเตรียมเนื้อนี่เป็นส่วนสำคัญที่สุดของการทำอาหารจานนี้เลยนะครับ วิธีการก็เริ่มจากเอาเนื้อติดมัน เลือกที่มีมันประมาณ​1/4-1/3 นะครับ มากกว่านั้นจะมันไป น้อยกว่านั้นก็จะแห้งไป พอได้เนื้อแล้วก็เอามาหั่นเป็นแท่งสี่เหลื่ยมยาว ๆ หรือว่า ลูกบาศก์ที่มีขนาดประมาณ​ 1.5x1.5 นิ้วนะครับแล้วก็เอาเกลือโรยทุกด้านของชิ้นเนื้อเสร็จแล้วก็เอากะทะแบนตั้งไฟกลาง ไม่ต้องใส่น้ำมันนะครับ (ถ้าใครมีเตาไฟกับตะแกรงก็ใช้ได้ครับ แต่ว่าใช้กะทะจะง่ายกว่า และไม่ค่อยมีควัน) พอกะทะร้อน ก็เอาเนื้อลงไปวางในกะทะ แล้วก็คอยพลิกไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ 2-3 นาทีนะครับ ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนข้างนอกมันสุกเกรียมดี ก็เอาขึ้นมาใช้มีดคม ๆ หั่นตามขวางเฉียง ๆ นะครับ ก็จะได้เนื้อย่างที่ข้างนอกสุกหอมเกรียม ข้างในยัง medium rare อยู่นิด ๆ

พอทำเนื้อเสร็จ ก็มาเตรียมน้ำยำนะครับ ก็เช่นเคย ใช้พริกแห้งบด น้ำปลา มะนาว ข้าวคั่วบด ใครอยากใส่ใบมะกรูดกับหอมแดงก็หอมดีครับ ก็คลุกให้เข้ากับเนื้อ ก็กินได้เลย

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

ก้อยกุ้ง

ที่บ้านอยากกินอะไรเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ ก็เลยทำก้อยกุ้งให้กิน



วิธีการทำก็เริ่มจากล้างกุ้งให้สะอาด แล้วเอามีดผ่าเอาเส้นหลังออกแต่ไม่ต้องแกะเปลือกกุ้งออกนะครับ ทิ้งไว้แบบนั้นแหละ ไม่งั้นเนื้อกุ้งจะใหม้ง่าย ถ้าได้กุ้งสด ๆ จะดีมาก เสร็จแล้วก็โรยเกลือลงไปนิดหนึ่งแล้วก็เอาไปปิ้ง หรือว่าทอดบนกระทะโดยไม่ต้องใส่น้ำมันะครับ พอกุ้งสุก (เนื้อกุ้งเปลี่ยนจากใส ๆ เป็นสีขาวขุ่น) ก็เอาขึ้นมาพักไว้ อย่าทิ้งไว้นานนะครับ เดี๋ยวเนื้อกุ้งจะแห้งไป เสร็จแล้วก็แกะเปลือกกุ้งออกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แต่ไม่ต้องถึงขั้นสับ พอทำเนื้อกุ้งเสร็จแล้ว ก็ซอยใบมะกรูดโรยลงไป ตามด้วยพริกแห้งบด น้ำปลา มะนาว กะว่าให้ได้รสเปรี้ยวเผ็ดเค็มนะครับ ถ้ามีหอมแดงหรือว่าหอมหัวใหญ่ก็ซอย ๆ โยนลงไปคลุกเคล้าด้วยกัน ถ้าบ้านไหนมีข้าวเหนียวที่ยังไม่ได้หุงอยู่ ก็เอาไปคั่วให้หอมแล้วก็เอามาบดโรยลงไปผสมกับเนื้อกุ้ง ก็จะทำให้หอมดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551

แกงอ่อม

แกงอ่อมเป็นอาหารที่ผมกินบ่อยตอนอยู่บ้าน (รองจากแกงผักหวานและแกงผักเสี้ยงดา) วิธีการทำก็ไม่ยาก อย่างแรกก็เตรียมน้ำพริกก่อน ถ้ามีน้ำพริกลาบก็จะง่ายขึ้นและหอมขึ้นครับ (มีน้องสาวส่งมาให้จากเมืองไทย :D ) แต่ถ้าไม่มี ก็ใช้พริกแห้ง หอมแดง กะเทียม ข่า ตะไคร้หั่น รากผักชี เม็ดผักชี กะปิ แต่ถ้ามีน้ำพริกลาบ ก็ใส่แค่กระเทียม หอมแดง ข่า ตะใคร้และกะปิก็พอแล้วครับ เอาเครื่องน้ำพริกมาตำให้ละเอียด แล้วก็เอาไปผัดกับน้ำมันหอม เสร็จแล้วก็เอาเนื้อหมู ซี่โครงอ่อน เนื้อวัว หรือว่าเครื่องในนะครับ ลงไปผัดกับน้ำพริกให้เข้ากัน ก็เติมน้ำลงไป แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนเนื้อนุ่ม ก็เอาผักชีฝรั่งหรือว่าใบมะกรูดโรยหน้า ก็กินได้แล้วครับ

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

ไส้อั่ว


ถ้าจะพูดถึงหนึ่งในอาหารยอดนิยมของคนเหนือก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไส้อั่วเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน วิธีทำไส้อั่วก็ไม่ได้ยากอะไรมากมายครับ

ปกติแล้วเวลาทำอาหารเว็บนี้จะไม่ค่อยนิยมบอกปริมาณเป๊ะๆ กัน เพราะว่ารสชาติอาหารเป็นสิ่งที่แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบเผ็ดก็ปรุงเผ็ด บางคนชอบหวานก็ปรุงหวาน ปรุงไปชิมไปไม่ต้องมีสูตรตายตัว แต่ครั้งนี้ขอแหกกฏซักหน่อยเพราะเมนูนี้ถ้าทำผิดอัตราส่วนไปเยอะๆ พอเสร็จแล้วมันแก้ยากครับ


เครื่องปรุง
1. ไส้หมู 2 เมตร (ตอนไปซื้อบอกเจ้าของร้านไปว่า Pork intestine เค้าก็เข้าใจ)
2. หมูสับ 1 กิโลกรัม
3. มันหมู 2-3 ขีด (ถ้ากลัวอ้วนไม่ต้องใส่ก็ได้)
4. ใบมะกรูดสับ 2 ช้อนโต๊ะ
5. พริกแห้งแช่น้ำหรือพริกสด 8-10 เม็ด
6. กระเทียม 3-4 หัว
7. หอมแดง 4-5 หัว (ใช้หอมหัวใหญ่แทนก็พอกล้อมแกล้ม)
8. ข่าสับ 1 ช้อนโต๊ะ
9. ตะไคร้สับ 2 ต้น
10. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
11. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
12. กะปิ 1 ช้อนชา
13. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
14. ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
15. น้ำ 1/2 ถ้วย

โขลกเครื่องเทศทั้งหมดให้ละเอียด ใส่ขมิ้น รากผักชี หรือลูกผักชีเข้าไปด้วยก็ได้ถ้าชอบ แล้วผสมกับหมูสับและมันหมูจนเป็นเนื้อเดียวกัน ล้างไส้หมูให้สะอาด มัดปลายด้านหนึ่งให้แน่น เสียบกรวยเข้าที่ปลายอีกข้างของไส้หมูที่ยังเปิดอยู่ เสร็จแล้วกรอกหมูเข้าไปในไส้ หมั่นใช้เข็มหรือไม้จิ้มฟันจิ้มไส้เพื่อปล่อยฟองอากาศที่จะเกิดขึ้นจากการใส่ไส้ บีบใส้ที่กรอกเข้าไปแล้วให้สม่ำเสมอแต่ไม่ต้องแน่นจนเกินไป เมื่อกรอกใส้หมดก็มัดปลายไส้ด้านที่เหลือให้แน่น เสร็จแล้วก็เอาไปย่าง หมั่นพลิกบ่อยๆ จะได้สุกทั่วๆ พอสุกแล้วก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เสริฟกับผักต้มหรือผักสดก็ได้

ผัดซีอิ๊ว

ผัดซีอิ๊ว

ซื้อคะน้ามาเยอะมาก (จริงๆ คือผัก green) จะทำผัดผักก็เริ่มซ้ำ เลยหาของแปลกๆ ทำ สุดท้ายมาลงตัวที่ผัดซีอิ๊ว ชีวิตนี้ไม่เคยทำมาก่อน เลยหาวิธีการจากกูเกิลแล้วเจอ เว็บนี้ ทำตามซะเลย
  1. หั่นและหมักหมูตามตำรา (ใช้หมูแพ็กสำหรับผัด Stir Fried)
  2. เอาเส้นแช่น้ำให้นิ่ม (ใช้เส้นแห้ง ซื้อจากร้านจีน เส้นไม่ใหญ่เท่าเส้นใหญ่บ้านเรา)
  3. กระเทียมลง หมูตาม เส้นตาม ใส่ซีอิ๊วดำให้สีสวย น้ำมันหอย น้ำปลา น้ำตาล
  4. ไข่ลง รอให้ไข่สุกแล้วผัด ใส่ผักตาม แค่นี้ก็เสร็จแล้ว ตอนกินปรุงกับน้ำตาล น้ำปลา พริกป่น น้ำมะนาว (ไม่มีน้ำส้มสายชู)
ทำครั้งแรกประสบความสำเร็จด้วยดี ยกเว้นเส้นแข็งไปนิดหนึ่ง (กะไม่ถูกว่าควรต้องขนาดไหน) เลยเอาไปเวฟก่อนกินอีกรอบให้นิ่มขึ้น