วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปลาลิงฉู่ฉี่แห้ง (ฉู่ฉี่ปลาสวาย)

ไปได้หนังสือ ตำรับอาหารพระราชวังหลวงพระบาง ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อลาวมา มีตำรับอาหารหลาย ๆ อย่างซึ่งเหมือนกับอาหารเมือง (ก็แน่ซิ อยู่ติดกันแบบนี้) และส่วนใหญ่ ทำได้โดยไม่ต้องใช้อะไรประหลาด ๆ (เช่นหัวปลาแซลมอน) ด้วย ก็เลยลองทำไปสองสามอย่างแล้ว



ทีนี้ วันก่อนไปเดินตลาด ไปเจอปลาสวายตัวกำลังน่ากิน เลยซื้อมาตัวหนึ่ง แล้วก็ทำหมกปลาลิง(ห่อหมกปลาสวาย)ไปแล้วครึ่งตัว กินได้สามวันเลยทีเดียว วันนี้ก็เลยหาอะไรทำจากปลาสวายอีก ก็เลยได้ ฉู่ฉี่ปลาสวาย หรือว่า ปลาลิงฉู่ฉี่แห้ง

วิธีทำ ก็เริ่มจากเอาปลาสวายมาหั่นเป็นท่อน 3 ชิ้น หั่นตามขวาหนาสัก 1-1.5 ซม. ล้างน้ำขยำเกลือทิ้งไว้สักพัก ก็เอาไปทอดน้ำมันพอเหลืองแห้งดี ก็เอามาขึ้นพักไว้ ต่อจากนั้น ก็เอาพริกแห้งแกะเอาเม็ดออกแช่น้ำไว้ 3 เม็ด หอมแกง (หอมแดง) 5 หัว เอามาตำให้ละเอียดในครก พอตำน้ำพริกเสร็จ ก็เอาหัวกะทิขึ้นตั้งไฟเคี่ยวจนแตกมัน แล้วก็เอาน้ำพริกลงไปผัดจนหอม ก็เทน้ำต้มกระดุกหมูหรือว่าน้ำเปล่าก็ได้ ใส่ลงไปหน่อยหนึ่ง แล้วก็เอาปลาที่ทอดแล้วใส่ลงไปคลุกกับน้ำในกะทะ ทิ้งไว้ให้น้ำคอดลงหน่อย ก็เติมน้ำปลาตามสมควร เสร็จแล้ว ก็โรยใบมะกรูด ต้นหอมซอย แล้วก็ตักลงใส่จาย โรยพริกไทย ผักชีซอยโรยหน้า ก็เสร็จแล้วครับ

ในหนังสือจะหมายเหตุไว้ว่า อย่าให้มีน้ำมากเกินไปครับ ให้แค่ปลาได้ดูซับน้ำแล้วก็มีน้ำเลี้ยงจานนิดหน่อยครับ

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เต้าหู้หม่าผอ



ตอนอยู่ที่บอสตันทำจานนี้บ่อยมาก แต่กลับมาเมืองไทย พึ่งทำครั้งแรก แถมหาเครื่องได้ไม่ครบอีกต่างหาก

วิีธการทำ ก็เอาน้ำมันงาลงใส่ลงไปในหม้อตั้งไฟอ่อน แล้วก็เอากระเทียมลงไปเจียวนะครับ พอหอม ก็เอาหมูสับ ขิงหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วก็พริกแดงลงไปผัด อยากได้เผ็ดแค่ไหนก็ตามปริมาณพริกครับ พอหมูสุก ถ้ามีน้ำมันพริก (chili oil) หรือว่า พริกถั่ว (chili bean paste) ก็ใส่ลงไปให้น้ำมันเป็นสีแดง แล้วมีรสเผ็ดยิ่งขึ้น แต่ผมไม่มีทั้งคู่ -_-'' เลยใช้ทางเลือกสุดท้ายครับ คือ ซอสพริกศรีราชา ซึ่งมันจะไม่เผ็ดมาก และมีกลิ่นแปลก ๆ หน่อย แต่ก็พอถูไถ พอใส่น้ำมันพริก หรือว่าพริกถั่วลงไปแล้ว ก็ผัดจนพริกมันเข้ากันดี ก็เอาเต้าหู้ขาวหั่นเป็นลูกเต๋าเล้ก ๆ ใส่ลงไป ค่อย ๆ คนนะครับ เดี๋ยวเต้าหู้แตก พอเต้าหู้ซับน้ำมันดี ก็เอาขึ้นเสิร์ฟครับ

จานนี้ผมเสริฟบนพริกหวานย่างที่เหลือจากเมื่อวาน ก็อร่อยไปอีกแบบ