อาหารทำงาย ๆ รสชาติก็คงถูกลนคนไทยดีครับ วิธีทำก็เริ่มจากเอาหมูมาย่าง จะให้ดีก็เป็นหมูติดมันนิดหน่อย ไม่งั้นจะแห้งเกินไป พอหมูสุกดีแล้ว (กินหมูดิบ อันตรายนะครับ) ก็เอามาหั่นเป็นชิ้น ๆ พักไว้ เสร็จแล้วก็เอาแตงกวามาล้างแล้วก็ปอกเปลือก แต่ถ้าใครชอบกินเปลือกแตงกวาก็ไม่ต้องปอกนะครับ แล้วก็หั่นเป็นชิ้นพอคำ พักใว้เช่นกัน ต่อจากนั้นก็หั่นหอมแดงพริกขี้หนู ตะไคร้ใส่ในถ้วย บีบมะนาวลงไป ใส่น้ำปลาน้ำตาลตาม ชิมรสให้ได้ เปรี้ยวนำแล้วตามด้วยเผ็ดหวานเค็มนะครับ แล้วก็เอาไปคลุกกะหมูและแตงกวา ถ้าอยากให้มีสีสรรค์ก็เอาใบโหระพาใส่ลงไปด้วยก็ได้ แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ยำหมูย่างแตงกวา
อาหารทำงาย ๆ รสชาติก็คงถูกลนคนไทยดีครับ วิธีทำก็เริ่มจากเอาหมูมาย่าง จะให้ดีก็เป็นหมูติดมันนิดหน่อย ไม่งั้นจะแห้งเกินไป พอหมูสุกดีแล้ว (กินหมูดิบ อันตรายนะครับ) ก็เอามาหั่นเป็นชิ้น ๆ พักไว้ เสร็จแล้วก็เอาแตงกวามาล้างแล้วก็ปอกเปลือก แต่ถ้าใครชอบกินเปลือกแตงกวาก็ไม่ต้องปอกนะครับ แล้วก็หั่นเป็นชิ้นพอคำ พักใว้เช่นกัน ต่อจากนั้นก็หั่นหอมแดงพริกขี้หนู ตะไคร้ใส่ในถ้วย บีบมะนาวลงไป ใส่น้ำปลาน้ำตาลตาม ชิมรสให้ได้ เปรี้ยวนำแล้วตามด้วยเผ็ดหวานเค็มนะครับ แล้วก็เอาไปคลุกกะหมูและแตงกวา ถ้าอยากให้มีสีสรรค์ก็เอาใบโหระพาใส่ลงไปด้วยก็ได้ แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ยำตะไคร้หอม
คิดอะไรไม่ออก ก็ค้น ๆ ของในตู้เย็นมายำ ๆ นะครับ :D วิธีทำก็เริ่มจากเอาหมูสับไปรวนให้สุกนะครับ วิธีการรวนก็คือเอาหม้อตั้งไฟใส่น้ำไปนิดหน่อย พอน้ำเดือด ก็เอาหมูสับลงไป เอาช้อนบี้ๆ ให้หมูสับสุก ก็เอาขึ้นมาใส่ชามไว้นะครับ น้ำในหม้อไม่ต้องทิ้งนะครับ ใส่รวมกับหมูสับไปเลย แล้วก็ทำแบบเดียวกับกุ้ง (ทำไปพร้อม ๆ กันก็ได้ แต่ว่าใส่หมูสับก่อน พอหมูสับสุก ก็ค่อยใส่กุ้งนะครับ ไม่งั้นกุ้งจะแข็ง) เสร็จแล้ว ก็เอาผักกาดแก้วหรือว่าผักกาดหอมมาสับให้เป็นฝอย ๆ รองจานไว้นะครับ แล้วก็เอาต้นหอมสับสับเป็นท่อน ๆ ตะใคร้หั่นละเอียด พยายามเน้นตรงส่วนปลายก้านนะครับ จะได้เคี้ยวง่าย ๆ ตามด้วยใบมะกรูดซอยเป็นริ้ว ๆ ลงไปคลุกกับหมูสับและกุ้ง พอเข้าที่ดีแล้ว ก็สับพริกขี้หนูลงไปสักสองสามเม็ด ตามด้วยน้ำปลาดี และน้ำมะนาวนะครับ ให้ออกเปรี้ยวเผ็ด ก็รับประทานได้แล้วคัรบ
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552
พริกยัดใส้ชุบแป้งทอด
เด็กที่บ้านซื้อพริกหนุ่มมา บอกว่าอยากกินหมูดผัดพริก ก็ทำให้กินวันก่อน แต่ว่ามีพริกเหลือ ก็เลยเอามายัดใส้ทอดนะครับ
วิธีทำก็เริ่มจากเอาหมูสับมาหมักกับกระเทียมพริกไทยและน้ำปลานิดหน่อย เสร็จแล้วก็เอาพริกหนุ่มไปล้างให้สะอาด ตัดขั้วออก แล้วผ่าตามยาว ถ้าพริกมันยาวไปทอดลำบาก ก็หั่นเป็นท่อน ๆ ก็ได้ครับ พอผ่าพริกแล้วก็ควักเอาใส้และเม็ดออกไม่งั้นจะเผ็ดเกินไป เมื่อผ่าพริกเรียบร้อยแล้วก็เอาหมูยัดลงไปในพริก พอทำเสร็จหมดแล้ว ก็เอาไปชุบกับแป้งโกกิทอดกับน้ำมันร้อน ๆ นะครับ
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552
แป้ง....
แป้งสาลี เป็นหนึ่งในแป้งที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก ซึ่งแบ่งแยกย่อยละเอียดได้เป็นหลายประเภทนะครับ
หลักๆ ก็แบ่งจาก ปริมาณโปรตีนที่มีอยู่ในแป้ง (Gluten) นั่นเองครับ
แบ่งหลักๆง่ายๆ ก็เรียกว่า แป้งเบา กลางๆ และ แป้งแข็ง
หากสังเกตในตลาด เวลาไปซื้อแป้ง จะเห็นแป้งแยกๆเป็นหลายประเภท
พวกแป้งทำซาลาเปา แป้งทำขนมปัง แป้งหมี่ ซึ่งจริงๆแล้วก็เหมือนๆกัน แตกต่างกันแค่ ปริมาณโปรตีนในแป้งเท่านั้น
เรียงตามลำดับจากโปรตีน น้อยไปมาก ได้ดังนี้ครับ
แป้งเค้ก< แป้งเอนกประสงค์ < แป้งทำขนมปัง
แป้งเค้ก เป็นแป้งที่เบาที่สุด ใช้ทำอะไรที่ละเอียด เบาๆ ฟู เช่น ซาลาเปา เค้ก แยมโรล แพนเค้ก เช่น แป้งบัวแดง แป้งตราพัด
แป้งเอนกประสงค์ เป็นแป้งที่มีโปรตีนมากขึ้นมาอีกหน่อย ไม่มีอะไรเด่น ราคาถูก เช่นแป้งตราว่าว ตรากบ
แป้งขนมปัง เป็นแป้งที่มีโปรตีนสูง เอาไว้ทำอาหารที่ต้องให้เหนียว คงรูปได้ง่าย เช่น ขนมปัง ปาท่องโก๋ บะหมี่ แผ่นเกี้ยว เช่น แป้งตราห่าน ตรานกอินทรี
ส่วนแป้งชุบทอดก็คือ แป้งเอนกประสงค์นี่แหละ ที่ผสม ผงฟูมานิดหน่อย บวกกับผสมปรุงรสแล้ว และแป้งที่เบามากๆ อย่างแป้งทำฮะเก๋า คือ แป้งที่ไม่มีโปรตีนเลย
แต่โดยปรกติ ไม่ค่อยได้ใช้ก็จะขอเว้นไว้ไม่พูดถึงละกันครับ
ดังนั้น ปรกติ ก็จะซื้อ แป้งเค้ก กับ แป้งขนมปัง ติดบ้านไว้ เวลาทำอาหารอะไรที่ต้องใช้แป้ง ก็จะเลือกใช้แป้งสองอย่างนี้ มาผสมกัน ตามอารมณ์ว่า แป้งที่อยากได้ ควรจะนิ่ม จะแข็งขนาดไหน
หรือ บางที แก้ขัดก็ใช้แป้งเอนกประสงค์ทำมันทุกอย่างเลย ก็ทำได้ แต่ไม่ค่อยดีเท่าไร (เคยแม้กระทั่ง เวลาอยากกินขนมจีบ แต่ไม่มีแป้ง ก็เอาแป้งโกกิ มานวดทำแป้งห่อ ก็เคยมาแล้ว)
พื้นฐานอีกอย่าง ที่ควรรู้ แต่คงไว้พูดทีหลัง คือ พวก สิ่งที่ทำให้ฟู พวก ผงฟู ยีสต์ เบกกิ้งโซดา ไข่ขาวตีแล้ว เนยตีฟูฯลฯ จะเอาไว้พูดถึงในโอกาสต่อไปละกันครับ
อีกอย่างที่เป็นเคล็ดลับในการเตรียมแป้งคือ เกลือ น้ำตาล และ น้ำมันครับ
น้ำตาลจะทำให้แป้งแข็ง เกลือจะทำให้แป้งนุ่มเหนียว และ น้ำมันจะทำให้แป้งตาย คือนวดแล้วไม่ติดกัน (ต้องระวัง)
ทีนี้ก็มาถึงภาคปฎิบัติกันแล้ว
สมมุติอยู่ดีๆ ก็อยากกินบะหมี่ไข่ เราก็ต้องไปเลือกแป้งที่เหมาะสม แน่นอน เวลาไปเดิน supermarket เพื่อเลือกแป้งที่เหมาะสมที่สุด แต่เมืองนอกคงไม่มีแป้งหมี่ขายหรอก
ก็ต้องไปเลือกซื้อ แป้งสาลีที่แข็งที่สุด ที่จะหาได้ (อาจจะแป้งทำขนมปัง หรือ แป้งทำมักกะโรนีก็ว่าไป) ยิ่งมีคำว่า Hard ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะจะทำให้เหนียวนุ่ม ตัดเป็นเส้นได้ง่ายๆ ไม่ไช่
เละเป้นก้อนๆ เส้นขาดออกจากกัน หรือ ลวกแล้วเละ ไม่อร่อย
ถ้าอยากทำซาลาเปา หรือ ขนมปังที่อยากให้แป้ง นิ่มๆ ฟูๆ ก็ต้องไปหาแป้งเค้กมาทำ ยิ่งเบายิ่งดี แต่ถ้าอยากทำอะไรที่มันเบาบางสุดๆ อย่างฮะเก๋าเนี่ย ก็ต้องไปหาแป้งเฉพาะครับ เพราะมันเบาไป
ทีนี้ก็ต้องมาถึงอะไรที่มันกลางๆ แล้วครับ ก็ต้องมานั่งตัดสินใจเอาเองว่า จะเลือกแป้งอะไรดี หาอะไรเหมาะๆไม่ได้ ก็ผสมเองเลยครับ
อย่างเช่นอยากทำเกี๋ยว แน่นอน เราต้องการให้เหียวนุ่ม คงรูป ก็ต้อง ใช้แป้งขนมปังทำครับ แต่ ถ้าใช้แป้งขนมปังอย่างเดียว มันจะรีดเป็นแผ่นๆยาก ผิวไม่เรียบเป็นเส้นใยๆดังนั้น เราก็ต้อง ผสมเอง
กะๆเอาเองเลยครับ ประมาณ แป้งขนมปัง 3 แป้งโกกิ1 เกลืออีกหน่อยละลายน้ำเย็นมานวด เราจะได้แป้งที่เหนียวพอเหมาะกับการทำเกี๋ยว
หรืออย่างตอนที่ทำเสี่ยวหลงเปา ตอนที่อยากทำ อยากได้แป้งนุ่มๆ ไม่เหนียวมาก แต่ว่า ต้องห่อใส้ได้ ก็ตัดสินใจ เลือกแป้งขนมปัง 3 ส่วน แป้งเค้ก 1 เลยครับ +น้ำเกลือ ให้มันเบากว่า แป้งเกี๊ยวหน่อยนึง
แต่เท่าที่ลองชิมแล้ว ยังเหนียวไม่พอ คาดว่า คงต้องลองเพิ่มแป้งเค้กอีกคราวหน้า
พอทราบไอเดียอย่างนี้แล้ว..... ก็มาลองทำอาหารโดยใช้แป้งแบบมั่วๆ ที่อยากลองทำกันเถอะครับ....
แถมยังเป็นพื้นฐานที่ดี ในการลองทำอาหารตามสูตรแล้วไม่ได้texture แบบที่ต้องการได้อีก
รูปนี้คือเสี่ยวหลงเปา ที่ลองทำแป้งแบบมั่วๆดูเองครับ แป้งยังแข็งกว่าที่ไปกินตามร้านอีกหน่อย แสดงว่า
คราวหน้าต้องลองทำให้แป้งมันเบาๆหรือ แป้งมันบางๆกว่านี้อีกหน่อย
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552
Stir-fried French green bean with sausage
สปาเก็ตตี้ผัดผงกะหรี่
มะเขือยาวผัดพริก
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ข้าวกั้นจิ้น
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เกี้ยวทอด
เด็กที่บ้านอยากกินเกี้ยวทอด ผมเคยเอาวิธีทำปอเปี้ยะทอดแผ่นเกี้ยวมาลงแล้ว แต่คราวนี้เป็นการทำแบบง่าย ๆ ไว ๆ เพราะว่าไม่ต้องม้วนให้เป็นปอเปี้ยะ แค่พับ ๆ ก็เสร็จแล้ว (จริง ๆ คือ ขี้เกียจ :P)
วิธีการทำก็เริ่มจากทำใส้ก่อน ใส้ก็ทำได้หลายแบบนะครับแล้วแต่ว่าแต่ละคนชอบแบบไหน แต่ตอนทำควรทำให้รสมันเข้มนิดหนึ่งเพราะแผ่นเกี้ยวมันจะจืด ๆ วันนี้ผมใช้หมูสับ มาผัดกับกระเทียม แครรอทซอยเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ แล้วก็เห็ดหอมซอยเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ เช่นกันนะครับ ผัดในน้ำมันให้แครอทนุ่มแล้วก็ใส่ซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ ซอสหอยนางรม แล้วก็พริกไทยลงไป พอได้ที่แล้วก็เอาขึ้นมาพักไว้นะครับ
พอใส้เย็นพอจับได้ ก็เอาแผ่นเกี้ยวมาวางแผ่น ตักใส้มาวางตรงกลางนิดหน่อย สักปลายนิ้วก้อยนะครับ เอาน้ำทาตรงขอบแผ่นเกี้ยวสักสองด้าน แล้วก็พับแผ่นเกี้ยวขึ้นไปให้เป็นรูปสามเหลี่ยมนะครับ แล้วก็เอาอุ้งมือนี่แหละ กดลดไปบนเกี้ยวไล่อากาศออกจากแเกี้ยวให้หมดแล้วก็ให้แป้งติดกันดีนะครับ ถ้ามีอากาศเหลือในเกี้ยว เวลาทอดแล้วมันจะฟูจนแตกนะครับ ทำไปเรื่อย ๆ จนแผ่นเกี้ยวหมดหรือว่าใส้หมด ก็เอาน้ำมันใส่หม้อหรือว่ากะทะตั้งไฟ พอน้ำมันเดือดดี ก็ค่อย ๆ เอาตะเกียวคีบเกี้ยวลงไปทอด คอยพลิกไปพลิกมานะครับ ไม่งั้นจะใหม้ พอแป้งสุกเป็นสีน้ำตาลสวยดี ก็เอาขึ้นมาพักให้น้ำมันหยดแห้งดี เวลากิน ก็กินกับน้ำจิ้มไก่ หรือว่าน้ำจิ้มบ้วยก็ได้ครับ
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง
เด็กสองคนที่บ้านซื้อซี่โครงหมูมาบอกว่าให้ทำให้กินด้วย แล้วมันก็อยู่ในตู้เย็นมาเกือบเดิน พึ่งได้มีโอกาสจัดการเอามาทำอะไรกิน ตอนแรกก็ว่าจะเอาย่าง แต่คิดไปคิดมา เอามาอบน้ำผึ้งดีกว่า
วิธีการทำก็เอาซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำนิดหน่อย ซอสหอยนางรม น้ำผึ้ง พริกไทย กระเทียม รากผักชี ผสมกันใส่ชามอ่านใหญ่ ๆ ไว้ เน้นน้ำผึ้งกับซอสหอยนางรมนะครับ เสร็จแล้วก็เอาซี่โครงหมูมาหั่นเป็นชั้น ๆ ให้มีสัก 5-6 ซี่ต่อชิ้น แล้วก็หมักกับซอสที่ทำไว้สักชั่วโมง-สองชั่วโมง หรือว่าใครจะหมักไว้ค้างคืนก็ได้ครับ พอหมักได้ที่ก็อุ่นเอาอบไปที่สัก 350F พอความร้อนได้ที่ ก็เอาซี่โครงหมูเข้าไปอบ พยายามหาตะแกรงมารองด้านล่าง ให้มันหมูมันหยดลงข้างล่างนะครับ ไม่งั้นหมูจะแฉะ แต่ก็หาชามกระเบื้องหรือว่ากะบะโลหะรองมันหมูที่หยดไว้นะครับ เพราะว่าจะเอามาทาซี่โครงหมูเรื่อย ๆ ไม่งั้นเนื้อก็จะแห้งเกินไปอีก ก็อบไปเรื่อย ๆ นะครับ คอยเอาซอสที่เหลือผสมกับมันหมูที่หยดอยู่ข้างล่างมาทาเนื้อหมูเรื่อย ๆ สัก 15-20 นาทีครั้งนะครับ ก็อบไปเรื่อย ๆ สักชั่วโมงหรือว่าชั่วโมงครึ่ง ก็ใช้ได้แล้วครับ
ในรูปจริง ๆ ยังอบไม่สุกมากนะครับ -_- แดงเถือกเลย แต่ว่าหิวเลย ก็เลยกิน ๆ กันไป จริง ๆ หมูดิบที่ไม่ควรกินนะครับอันตราย
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ขนมจีบกุ้ง
เด็กที่บ้านอยากทำเกี้ยวน้ำก็เลยทำให้กินไป แต่มีแป้งเกี้ยวเหลือ ก็เลยทำขนมจีบกุ้งดีกว่า
วิธีการทำก็เริ่มจากเอาหมูสับมาผสมกับกุ้งสับ รากผักชี หอมหัวใหญ่สับละเอียด ซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรม พริกไทย แห้วสับละเอียด และน้ำมันงานติดหน่อย แล้วก็นวดไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมเหนียวนุ่มนะครับ ใครชอบแบบกัดแล้วมันเด้ง ๆ ก็ใส่กุ้งเยอะหน่อย พอส่วนผสมเข้าท่าดีแล้ว ก็ตักใสตรงกลางแผ่นเกี้ยวขนาดสักแม่มือได้ แล้วก็รวมแผ่นเกี้ยวขึ้นมาให้เป็นทรงขนมจีบ ถ้าแผ่นเกี้ยวมันไม่ยอมติดกัน ก็เอาน้ำแตะ ๆ ให้พอเหนียวนะครับ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดส่วนผสมหรือว่าหมดแผ่นเกี้ยว ก็เอาไปนึ่งในซึ้งนะครับ ถ้าใครมีที่นึ่งขนมจีบที่ทำแบบไม้ก็จะนึ่งง่าย แต่ถ้าไม่มีก็ใช้ซึ้งโลหะธรรมดาก็ได้ครับ แต่ว่าเอสน้ำมันงาทาพื้นนิดหนึ่งกันแป้งติด นึ่งสัก 7-10 นาทีก็กินได้แล้วครับ เวลากิน ก็เอากระเทียมเจียวโรย กินกับจิกโชว หรือว่า Worcestershire sauce (บางที่จะเรียกแค่ Worcester sauce อ่านว่าวูสเตอร์ซอส) ก็เข้าทีดีเหมือนกัน
วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
น้ำพริกอ่อง
จริง ๆ เคยมีน้องเอาสูตรน้ำพริกอ่องมาลงแล้ว (สูตรน้องเขาจะทำง่ายกว่า เพราะว่าใช้น้ำพริกสำเร็จ) แต่ว่าเราดันถ่ายรูปมาซะสวย เลยอยากเอาลงบ้าง :P สำหรับน้ำพริกอ่องนี่ คนเหนือสมัยก่อนเขาถือว่าเป็นน้ำพริกชั้นสูงนะครับ เพราะว่าใส่หมูสับด้วย อาหารเหนือสำหรับชาวบ้านโดยทั่วไปก็จะเน้นพวก ผัก ปลา ไก่ ไปตามเรื่องนะครับ หมูนี่จะเลี้ยงไว้กินเฉพาะวันพิเศษ ๆ จริง ๆ เท่านั้น ดังนั้นน้ำพริกที่ใส่หมูสับนี่ ต้องถือว่าไฮโซมากนะครับ
วิธีการทำน้ำพริกอ่องก็เริ่มจากการทำน้ำพริกก่อน ก็เอา ตะไคร้ พริกแห้งแช่น้ำพอนุ่ม เกลือ น้ำปลา กะปิ หอมแดง กะเทียม รากผักชี มาโคลกให้เข้ากันนะครับ บางบ้านก็จะใส่ถั่วเน่าด้วย ก็แล้วแต่ชอบครับ พอเตรียมน้ำพริกเสร็จแล้ว ก็เอาน้ำมันใส่ลงในกะทะ ตั้งไฟพอร้อน ก็เอาน้ำพริกลงไปผัด ตามด้วยหมูสับ และมะเขือเทศสีดา (ฝรั่งเรียก grape tomato) หั่นครึ่งแล้วนะครับ บางบ้านจะเอามะเขือเทศลงไปโคลกกับน้ำพริกให้มันเละ ๆ ด้วย แต่ผมเน้นใช้ตะหลิวบี้ ๆ เอา ก็ผัดไปเรื่อย ๆ จนหมูสุก ก็เติมน้ำลงไปน่อยนะครับ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนมะเขือเทศสุกนุ่มเละน่ากิน ก็ปรุงรส เวลาเสริฟก็เอาผักชีโรยหน้านิด ก็เสร็จแล้วครับ กินกับไข่ต้มและผักต้มก็อร่อยดีนักแล
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ปลาทอดน้ำปลา
ไปเดินตลาดวันนี้เห็น Catfish (ตระกูลเดียวกับปลาบึก ปลากด หรือว่าปลาดุกบ้านเรา เป็นพวกปลาไร้เกล็ดทั้งหลาย) ขายถูก ๆ ก็เลยคว้ามาหนึ่งแพ๊ค คาดว่าเอามาทอดคงจะอร่อยน่าดู เพราะว่าปลาตระกูลนี้ ก้างน้อย ไม่มีเกล็ดให้รำคาญใจ แถมเนื้อก็มีแต่มัน ทอดแล้วจะอร่อยมาก ก็เลยกะเอามาทำปลาทอดน้ำปลา
วิธีการทำก็เริ่มจากหั่นปลาเป็นชิ้นพอคำ เสร็จแล้วก็เอาน้ำปลาลงไปคลุกกะปลา ทิ้งไว้สักพัก ก็เอากะทะตั้งไฟใส่น้ำมันลงไป เปิดไฟแรงสุด พอน้ำมันร้อนดี (สังเกตุดูว่า เริ่มมีไอน้ำมันลอยขึ้นมา) ก็เอาชิ้นปลาลงไปคลุกกับแป้งมันให้แป้งมันติดทั้วทั้งชิ้นปลา ก็หย่อนปลาลงกะทะ ใครชอบแป้งหนากรอบ ก็คลุกนาน ๆ หน่อยให้แป้งติดเยอะ ๆ แต่ถ้าใครไม่ชอบแป้งเยอะ ก็เอาแค่พอทั่ว ๆ นะครับ ทอดไปเรื่อย ๆ จนด้านนอกเป็นสีน้ำตาลทอง ก็เอาขึ้นมาพักไว้ให้น้ำมันหยดแห้งดี ก็เอาลงใส่จานได้เลยครับ
ปลาทอดนี่ ถ้าจะให้อร่อย ควรจะกินกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยว เผ็ด เค็มนะครับ ถ้าทำง่าย ๆ ก็เอาพริกขี้หนู กะเทียม น้ำปลา มะนาว มาผสมกัน ปรุงให้ได้รส แล้วก็ใส่ผักชีสับตามลงไปหน่อย ก็ได้ที่แล้วครับ
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
กุ้ยช่ายผัดหมู
ดอกกุ้ยช่าย หรือว่า ดอกไม้กวาด เป็นผักที่ดีต่อสุขภาพ มีธาตุเหล็กเยอะช่วยสร้างเม็ดเลือด สตรีที่พึ่
มีลูกกินดอกกุ้ยช่ายบ่อย ๆ จะช่วยสร้างน้ำนม ผู้สูงอายุควรกินดอกกุ้ยช่ายเป็นประจำเพื่อช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
วิธีการทำกุ้ยช่ายผัดหมู ก็ไม่อยากครับ ผมชอบหั่นหมูเป็นชิ้นใหญ่ ๆ แต่ให้บางนิดหนึ่งนะครับ จะเคี้ยวสนุก เสร็จแล้วก็หั่นกุ้ยช่ายให้ยาวสักนิ้วครึ่ง เตรียมไว้ วิธีการทำก็เริ่มจากเอากะทะตั้งไฟให้ร้อนมาก ใส่น้ำมันลงไป พอน้ำมันเริ่มร้อย ก็ใส่กระเทียมสับลงไป เจียวกระเทียมให้หอมเสร็จแล้วก็ใส่หมูลงไปผัด ตามด้วยซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ พริกไทยนิดหน่อย และซ๊อสหอยนางรม ผัดไปเรื่อย ๆ พอหมูเริ่มสุก ก็เอาน้ำใส่ลงไป เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ให้หมูนุ่ม พอหมูนุ่มดี ซ๊อสเหนียว ก็โยนกุ้ยช่ายลงไป สบัดกะทะสักสามสี่ที ก็เอาขึ้นได้เลยครับ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะว่ากุ้ยช่ายจะไม่กรอบ
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แกงเผ็ดเป็ดย่าง
เด็กที่บ้านอยากกินแกงเผ็ดเป็ดย่าง (อาทิตย์หน้าคงอยากกินเป็นปักกิ่ง สงสัยต้องเตรียมทำแป้ง) แถมซื้อน่องเป็ดมาให้สองน่อง จริง ๆ ใช้เนื้ออกจะอร่อยกว่าครับ เนื้อน่องมันมันไปหน่อย ขั้นตอนการทำก็คือเอาเป็ดมาย่างก่อนครับ (ตามชื่อเลย) วิธีการย่างก็เอาเป็ดไปหมักกับซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำมันงานิดหน่อย น้ำผึ้ง(ถ้ามี) นวดให้เข้าเนื้อ แล้วก็ตั้งเตาอบที่ 450F พออุณหภูมิได้ที่ ก็เอาเป็ดเข้าไปย่างสัก 15 นาทีครับ พอให้หนังเป็ดเหลืองกรอบ ก็เอาออกมาพักไว้ พอเย็นลงก็สับให้เป็นชิ้น ๆ พอคำ
ทำเตรียมเป็ดเสร็จ ก็เอาหัวกะทิขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำพริกแกงแดงลงไป ตั้งไฟกลางเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนกะทิแตกมัน (ในรูปมันยังไม่ค่อยแตกมันเท่าไหร่ครับ แต่ว่าหิวกัน ก็เลยทำแบบเร็ว ๆ ) พอกะทิแตกมันดี ก็เอาเป็ดย่างใส่ลงไป เร่งไปให้แรง ตามด้วยใบมะกรูด มะเขือเทศสีดา สัปปะรด ใบโหระพา น้ำมะขามนิดหน่อย น้ำตาลปึก น้ำปลา ปรุงให้ได้รสเผ็ดหวาน นะครับ อย่าให้เปรี้ยวนำ พอคนไปมาสักพักให้มะเขือเทศนิ่มดี ก็ยกลงได้เลยครับ
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เต้าหู้ทรงเครื่อง(มั้ง)
ปกติเวลาทำเต้าหู้ทรงเครื่อง มันจะเป็นเต้าหู้ทอดที่มีน้ำซอสเหนียว ๆ ราด แต่ว่าวันนี้ตอนทำน้ำซอสเหนียว ๆ ที่ว่า ดันเกิดความคิดขึ้นมรในหัวว่า เต้าหู้ที่ทอดแล้วมันจืด ไม่มีรสชาติอะไร ทำไมไม่เอาไปคลุกกะน้ำซอสให้มันดูดเอาน้ำซอสเข้าไปในเนื้อเต้าหู้มันจะได้มีรสชาติดีขึ้น ก็เลยได้ออกมาหน้าตาดังรูป
วิธีทำ ก็เริ่มจากเอาเต้าหู้แข็งหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ แล้วเอาไปทอดน้ำมันร้อน ๆ ให้เหลืองกรอบ เสร็จแล้วก็เอาขึ้นมาพักไว้ แล้วก็ไปตั้งกะทะอีกอัน เอาน้ำมันใส่ลงไปเล็กน้อยตามด้วยกระเทียมทุบเจียวพอหอม ก็เอาหมูสับใส่ลงไปผัดกับน้ำมัน เยอะน้ำมันหอย ซีอิ้วดำเยอะหน่อย แล้วก็ซีอิ้วขาวนิดหน่อย พอแต่งรส ผัดไปเรื่อย ๆ จนหมูใกล้สุก ก็ใส่แครอทลงไป ใครจะใส่พวกก้านคน้าหั่นเล็ก ๆ ลงไปด้วยก็ได้คัรบ แล้วก็ผิดไปเรื่อย ๆ จนแครอทนิ่มน้ำซอสเริ่มเหนียว ก็ใส่ต้นหอมหั่นหยาบลงไป โดยทั่วไป พอได้ที่ ก็ตักน้ำซอสนี้ไปราดเต้าหู้ แต่ผมเอาเต้าหู้เทใส่กะทะแล้วผัดไปสักพักให้เต้าหู้ดูดซึมน้ำซอส ก็เลยออกมาตามรูปครับ :)
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ซี่โครงหมูทอดตะไคร้กรอบ
ถ้าใครชอบกระเพราทอดกรอบ ต้องลองตะไคร้ทอดกรอบดูครับ แต่ว่าก่อนจะเอาทอดได้ ต้องเอาฆ้อนหรือว่าสากทุบให้เส้นใยแตกก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นทอดแล้วจะกินไม่ได้นะครับ ก็ทุบไปเรื่อย ๆ จนเส้นใยแยกเป็นเส้น ๆ เสร็จแล้วก็เอาหมูซึ่โครงหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ หมักกับซี่อิ้วขาว ซอสหอยนางรม พริกไทย กระเทียม หมักไว้สักพัก ก็เอาหม้อตั้งไฟแรง ๆ พอน้ำมันเดือด ก็เอาหมูกับตะไคร้ลงไปทอดพอหมูเป็นสีน้ำตาลสวย แล้วก็ตะไคร้เป็นสีน้ำตาลเข้ม ก็ใช้ได้แล้วครับ
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552
จิ้มจุ่ม
ส่วนน้ำจิ้ม วันนี้ทำน้ำจิ้มแจ่ว หรือว่าน้ำจิ้มอีสานนะครับ ส่วนผสมก็คือ พริกแห้งคั่วปั่น (แต่ผมใช้พริกลาปแทน :P) น้ำมะนาว น้ำปลา ข้าวคั่ว ต้นหอมซอย ผักชีซอย ปรุงให้ได้รสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ก็ใช้ได้แล้วครับ
เสร็จแล้วก็ไปเตรียมหมูชิ้น ไก่ ผักต่าง ๆ เวลาหมักหมูใส่น้ำมันพืชลงไปหน่อย หมูจะนิ่มขึ้นตอนต้มครับ ไม่งั้นมันจะแข็ง ๆ เสร็จแล้ว ก็กินได้เลยครับ
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ไก่ผัดเม็ดมะม่วง
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ราดหน้า
ราดหน้าคงเป็นอาหารสิ้นคิดอีกอย่างหนึ่งของคนไทย และวิธีการทำราดหน้า ก็ไม่ยากอย่างที่คิดครับ วิธีทำก็เริ่มจากหั่นหมูเป็นชิ้น ๆ แล้วก็เอาไปหมักกะพริกไทยกระเทียมไว้ ถ้ามีใบมะละกอหรือว่าสัปปะรดก็เอาลงไปหมักกับหมูครับ หมูจะได้นุ่ม ๆ เสร็จแล้วก็ไปหั่นผักเตรียมไว้ หลัก ๆ ก็คือผักคะน้าครับ แต่ถ้ามีพวกเห็ด หรือว่าแม้แต่แคร์รอทก็ใส่ได้ครับ พอเตรียมเครื่องเสร็จแล้ว ก็เอาเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่มายี ๆ ในน้ำอุ่นให้เส้นออกจากกันแล้วเอาขึ้นมาสะบัดน้ำให้แห้งนิดหนึ่ง แล้วก็เอากะทะตั้งไฟใส่น้ำมัน พอน้ำมันเริ่มร้อน ก็เอาเส้นลงไปผัดครับ ผัดไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นก็ใส่ซีอิ้วดำลงไปเรื่อย ๆ จนสีเข้มพอได้ ก็ผัดไปจนเส้นหอม ก็เอาขึ้นมาพักไว้นะครับ
พอผัดเส้นเสร็จ ก็ล้างกะทะซะหน่อย แล้วก็ใส่น้ำมันลงไปตามด้วยกระเทียมสับเจียวพอหอม ก็ใส่หมูลงไปผัดกับกระเทียมครับ แต่งรสซะหน่อยด้วยซีอิ้วขาว น้ำตาลนิดหน่อย แล้วก็ซ๊อสหอยนางรมนะครับ พอหมูเริ่มสุก ก็ใส่น้ำลงไปพอท่วมหมู แล้วก็เร่งไฟ พอน้ำเดือด ก็ใส่ผักลงไป ค่อย ๆ ผัดไปเรื่อย ๆ จนผักนิ่มนะครับ ก็หรี่ไฟลง แล้วก็เอาแป้งมัน หรือว่า แป้งข้าวโพดมาละลายกับน้ำเย็นแล้วก็เทลงไปในกะทะพร้อมกับคนเร็ว ๆ นะครับ ไม่งั้นแป้งจะจับตัวเป็นก้อน แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำมันเริ่มเหนียว ก็กินได้แล้วครับ
วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552
Stir-fried zucchini with shrimp and egg
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552
ยำปลาทู
เด็กที่บ้านอยากกินอะไรเปรี้ยว ๆ ก็เลยมาตกอยู่ที่ยำปลาทู วิธีทำก็เอาปลาทูไปต้มให้สุกจนนเนื้อแข็งนิด ก็เอามาแกะเอาแต่เนื้อนะครับ ต่อจากนั้นก็คลุกตะไคร้หั่นละเอียด หอมแดงซอย พริกขี้หนูซอย น้ำปลา มะนาว น้ำตาลปึกเข้าด้วยกัน เสร็จแล้ว ก็เอาไปคลุกกับปลาทู ก็เสร็จแล้วครับ :D
วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552
บัวลอยเผือก
เด็กที่บ้านอยากกินบัวลอยเผือก ก็เลยทำให้กิน เริ่มจากเอาเผือกมาต้มหรือนึ้งให้สุกแล้วก็ช้อนมาบี้ให้ละเอียด แล้วก็เอามือนวด ๆ ให้เหนียวเสร็จแล้วก็เอาแป้งข้าวเหนียวผลงไปผสมกับเผือกในอัตราหนึ่งต่อหนึ่ง ใส่น้ำลงไปนิดหนึ่งแล้วนวดแป้งกับเผือกให้เข้ากันก็ปั้นแป้งให้เป็นลูกกลม ๆ เล็ก ๆ พอนวดเสร็จทั้งหมดก็ทิ้งไว้
พอนวดแป้งเสร็จแล้ว ก็เอากะทิใส่หม้อเติมน้ำตาลลงไปใส่เกลือนิดหน่อย พอให้ได้รสหวานเค็มมันถ้ามีใบเตยก็ใส่ลงไปด้วยจะได้หอม ๆ ก็ตั้งไฟเคี่ยวกะทิไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็เอาหม้ออีกใบตั้งน้ำร้อนให้เดือด พอน้ำเดือดจัด ๆ ก็ใส่แป้งที่ปั้นไว้แล้วลงไปต้ม พอแป้งลอยขึ้นมา ก็ทิ้งไว้สักห้านาทีก็ช้อนขึ้นมาสบัดสักสองสามทีให้น้ำแห้ง ก็เทแป้งที่สุกแล้วลงในหม้อกะทิ พอต้มแป้งในน้ำเดือดเสร็จหมดแล้วก็เคี่ยวกะทิ(ที่มีแป้งอยู่ข้างใน)ไปสักพัก ก็ตักเสริฟได้
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552
สุกี้ผัดแห้ง
ช่วงนี้งานยุ่งจนไม่มีเวลาทำกับข้าวกิน ส่วนมากก็ได้ทำแต่ง่าย ๆ แบบนี้แหละครับ
วิธีการทำก็ไม่ยาก หั่นผักเป็นชิ้นพอคำ เอาวุ้นเส้นไปแช่น้ำให้นุ่มแล้วก็หั่นเป็นท่อนๆ ยาวสักหนึ่งนิ้ว สุดท้ายก็หั่นเนื้อไก่หรือว่าเนื้อวัวเอาไว้
พอเตรียมเครื่องเสร็จ ก็เอากะทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่น้ำมันลงไป ก็โยนกระเทียมสับลงไปแล้วพอกระเทียมหอมก็ตอกไข่ลงไป ยีไข่เล็กน้อยพองาม พอใส่เริ่มสุกก็เอาไก่หรือเนื้อวัวลงไปผัดให้สุก พอไก่สุกดี ก็เทน้ำจิ้มสุกี้ลงไปตามด้วยผัก ก็ผัดไปเรื่อย ๆ พอผัดเริ่มสุก ก็ใส่น้ำลงไปนิดหนึ่ ถ้ามันแห้งไปแล้ว แล้วก็ใส่วุ้นเส้นลงไป พอผักสุก วุ้นเส้นอมน้ำจิ้มสุกี้ดี ก็เอาใส่จานกินได้แล้วครับ :)
วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552
ตำขนุน
สืบเนื่องมาจาก เกิดอยากทำอาหารเหนือกินกันขึ้นมา เลยคิดว่าจะทำกับข้าวเหนือๆกินกัน ที่คิดไว้วันนั้นก็มี ตำขนุน น้ำพริกหนุ่ม กับ ลาบคั่ว แต่ไปๆมาๆ เพื่อนอีกบ้านมาเที่ยว ได้ลูกมือเพิ่ม ได้เพิ่มมาอีกสองจาน คือ แกงฮังเล กับ สาคูไส้หมู (ที่ไม่เกี่ยวกับอาหารเหนือ) แต่วันนี้จะมาเล่าวิธีการทำ ตำขนุน เพราะจานอื่นๆ คนอื่นๆรับผิดชอบนั่นเอง ^^
เนื่องจากอยู่อเมริกา จะหาขนุนอ่อนสดๆก็ยากนัก เลยต้องหาซื้อขนุนกระป๋องในน้ำเกลือแทน ได้มาสองกระป๋องจากตลาดจีนแถวบ้าน เครื่องปรุงมีดังนี้
1. ขนุนกระป๋องสองกระป๋อง
2. red curry หรือ น้ำพริกแกงแดง
3. ต้นหอมซอยเป็นแว่นๆ
4. ผักชีสับพอหยาบ
5. ใบมะกรูดซอย
6. กระเทียมซอยละเอียด
7. น้ำปลาร้า หรือ กะปิ
8. พริกแห้ง
9. มะเขือเทศสีดาหั่นครึ่ง กะปริมาณให้เหมาะกับขนุน (มากไปจะเปรี้ยวเกิน)
10. น้ำปลา
11. น้ำมัน
11. แคบหมู
เริ่มจากเอาขนุนกระป๋องไปต้ม พอได้ที่ ก็เอามายีๆ ให้เป็นชิ้นเล็กๆ (ใครมีครกก็ตำเอานะ) ใส่น้ำพริกแกงแดงลงไปประมาณสองช้อนโต๊ะ (กะเอากับปริมาณขนุน) คลุกให้เข้ากัน พักไว้ ระหว่างนี้ก็เอากระเทียมที่ซอยละเอียดไปเจียวให้หอม แล้วก็ทอดพริกแห้ง นำสองอย่างขึ้นพักไว้ จากนั้นใช้น้ำมันที่เหลือก้นกะทะ ถ้าน้อยไปอาจจะใส่เพิ่มได้ เอาขนุนที่คลุกไว้เมื่อกี๊ลงไปผัด ใส่มะเขือเทศสีดาที่หั่นไว้ และ ใบมะกรูดซอย ผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำปลาร้าลงไปนิดๆพอมีกลิ่น ใครมีกะปิ ก็ใส่กะปิแทน ปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมรสดู พอมะเขือเทศเริ่มสุก (สังเกตจะเริ่มเละๆ) ก็ปิดไฟ ตักใส่จาน โรยหน้าด้วย กระเทียมเจียว พริกแห้งทอด ต้นหอมซอย ผักชีสับ กินกับแคบหมู อร่อยมากมาย
ไหนๆก็ไหนๆ แถมรูปอาหารจานอื่นๆให้ชม ^^ มาจากฝีมือสมาชิกที่บ้าน และเพื่อนๆ
วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552
บะหมี่เกี้ยวน้ำ
จากนั้นทำน้ำซุปง่ายๆ ด้วยซุปผง ^^" อย่างเช่นผง wonton soup ลวกเห็ดหอม ลูกชิ้น เส้น ซอยต้นหอมโรยซะหน่อย ก็เป็นอันเสร็จครับ
ถ้าอยากลดความอ้วนหรือไม่อยากทานแป้งมาก เกี้ยวน้ำก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง
วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552
ขนมจีบหมูสับ
ปลาทิลาเปียเผา
1. ซื้อปลา Tilapia มาสองชิ้นใหญ่ๆ ล้างให้สะอาด ซับน้ำให้แห้งแล้วโรยเกลือ พริกไทย
2. วางปลาบนถาดอบที่รองด้วยใบเตย เสร็จแล้วโรยด้วยตะไคร้ซอยและใบมะกรูด
3. พันปลาด้วยใบเตยอีกที
4. เอาเข้าเตาอบชั้น broiler ใช้ไฟแรงสุดประมาณสิบห้านาที
5. เสร็จละ กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ด (พริกขี้หนูกระเทียมซอยละเอียด ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว และน้ำตาลเล็กน้อย)
(จริงๆต้องห่อฟอยด์ทับอีกชั้นแต่ลืม ปลาเลยแห้งไปเล็กน้อย ทำใหม่รอบสองห่อฟอยล์ด้วย ได้เนื้อปลาหวานอร่อยกว่าเดิม)
วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552
ซี่โครงหมูผัดพริกแกงก้านคะน้า
ทำอาหารไปนาน ๆ ชักคิดมุกไม่ออก พอดีนึกได้ว่าตอนอยู่เมืองไทยชอบกินหมูกรอบพริกแกงไข่ดาว แต่ว่าที่นี่ไม่มีหมูกรอบ (ไม่ได้ทำไว้) งั้นก็ใช้ซี่โครงอ่อนหมูละกันง่ายดี วิธีการทำก็เริ่มจากเอาซี่โครงอ่อนหมูมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ แล้วก็เอาก้านคะหน้ามาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ถ้าก้านใหญ่มาก ก็เอามีดทุบ ๆ ให้แตกก่อน จะได้กินง่าย เสร็จแล้วก้เอาพริกแกงแดงลงไปผัดกับกระเทียมและน้ำมันพอหอม ก็ใส่หมูลงไปผัด พอหมูเริ่มสุกก็โยนคะน้าลงไป ผัดไปมาสักพักก็ใส่นมลงไปนิดหน่อยพอให้ได้น้ำราดข้าว พอผักสุกดีก็เสร็จแล้วครับ
วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552
ปลาหมึกผัดไข่เค็ม
เด็กที่บ้านซื้อปลาหมึกมา พอดีมันเป็นปลาหมึกที่หั่น ๆ มาเป็นท่อน ๆ แล้ว (เขาเรียกว่าอะไรนะ -_- ) ก็เลยเอาไปทำปลาหมึกยัดใส้ไม่ได้ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นปลาหมึกผัดไข่เค็ม
วิธีทำก็เริ่มจากเอากระเทียมลงไปเจียวน้ำมันในกะทะพอหอม เสร็จแล้วก็โยนปลาหมึกลงไปผัดกับน้ำมันให้หดตัวลงเล็กน้อย ก็ใส่ไข่เค็มลงไป ควรใช้ไข่เค็มที่สุกแล้วนะครับ ไม่งั้นจะเละเกิน พอใส่ไข่เค็มลงไป ก็คอยบี้ไข่แดงให้เละแล้วก็เคลือบปลาหมึกไว้ ส่วนไข่ขาวก็บี้ ๆ พอคำ พอไข่แดงเละดี ก็โยนต้นหอมหั่นลงไป พอกะว่าได้ที่ ก็ใส่ซีอิ้วขาวนิดหนึ่ง ซีอิ้วดำพองาม แล้วก็น้ำมันหอยพอไม่ให้เหงา พอใช้ได้ ก็เทใส่จาน โรยพริกไทยลงไปนิด ก็กินได้แล้วครับ :)