วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ซี่โครงหมูอบน้ำผึ้ง


เด็กสองคนที่บ้านซื้อซี่โครงหมูมาบอกว่าให้ทำให้กินด้วย แล้วมันก็อยู่ในตู้เย็นมาเกือบเดิน พึ่งได้มีโอกาสจัดการเอามาทำอะไรกิน ตอนแรกก็ว่าจะเอาย่าง แต่คิดไปคิดมา เอามาอบน้ำผึ้งดีกว่า

วิธีการทำก็เอาซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำนิดหน่อย ซอสหอยนางรม น้ำผึ้ง พริกไทย กระเทียม รากผักชี ผสมกันใส่ชามอ่านใหญ่ ๆ ไว้ เน้นน้ำผึ้งกับซอสหอยนางรมนะครับ เสร็จแล้วก็เอาซี่โครงหมูมาหั่นเป็นชั้น ๆ ให้มีสัก 5-6 ซี่ต่อชิ้น แล้วก็หมักกับซอสที่ทำไว้สักชั่วโมง-สองชั่วโมง หรือว่าใครจะหมักไว้ค้างคืนก็ได้ครับ พอหมักได้ที่ก็อุ่นเอาอบไปที่สัก 350F พอความร้อนได้ที่ ก็เอาซี่โครงหมูเข้าไปอบ พยายามหาตะแกรงมารองด้านล่าง ให้มันหมูมันหยดลงข้างล่างนะครับ ไม่งั้นหมูจะแฉะ แต่ก็หาชามกระเบื้องหรือว่ากะบะโลหะรองมันหมูที่หยดไว้นะครับ เพราะว่าจะเอามาทาซี่โครงหมูเรื่อย ๆ ไม่งั้นเนื้อก็จะแห้งเกินไปอีก ก็อบไปเรื่อย ๆ นะครับ คอยเอาซอสที่เหลือผสมกับมันหมูที่หยดอยู่ข้างล่างมาทาเนื้อหมูเรื่อย ๆ สัก 15-20 นาทีครั้งนะครับ ก็อบไปเรื่อย ๆ สักชั่วโมงหรือว่าชั่วโมงครึ่ง ก็ใช้ได้แล้วครับ

ในรูปจริง ๆ ยังอบไม่สุกมากนะครับ -_- แดงเถือกเลย แต่ว่าหิวเลย ก็เลยกิน ๆ กันไป จริง ๆ หมูดิบที่ไม่ควรกินนะครับอันตราย

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขนมจีบกุ้ง



เด็กที่บ้านอยากทำเกี้ยวน้ำก็เลยทำให้กินไป แต่มีแป้งเกี้ยวเหลือ ก็เลยทำขนมจีบกุ้งดีกว่า

วิธีการทำก็เริ่มจากเอาหมูสับมาผสมกับกุ้งสับ รากผักชี หอมหัวใหญ่สับละเอียด ซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรม พริกไทย แห้วสับละเอียด และน้ำมันงานติดหน่อย แล้วก็นวดไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมเหนียวนุ่มนะครับ ใครชอบแบบกัดแล้วมันเด้ง ๆ ก็ใส่กุ้งเยอะหน่อย พอส่วนผสมเข้าท่าดีแล้ว ก็ตักใสตรงกลางแผ่นเกี้ยวขนาดสักแม่มือได้ แล้วก็รวมแผ่นเกี้ยวขึ้นมาให้เป็นทรงขนมจีบ ถ้าแผ่นเกี้ยวมันไม่ยอมติดกัน ก็เอาน้ำแตะ ๆ ให้พอเหนียวนะครับ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดส่วนผสมหรือว่าหมดแผ่นเกี้ยว ก็เอาไปนึ่งในซึ้งนะครับ ถ้าใครมีที่นึ่งขนมจีบที่ทำแบบไม้ก็จะนึ่งง่าย แต่ถ้าไม่มีก็ใช้ซึ้งโลหะธรรมดาก็ได้ครับ แต่ว่าเอสน้ำมันงาทาพื้นนิดหนึ่งกันแป้งติด นึ่งสัก 7-10 นาทีก็กินได้แล้วครับ เวลากิน ก็เอากระเทียมเจียวโรย กินกับจิกโชว หรือว่า Worcestershire sauce (บางที่จะเรียกแค่ Worcester sauce อ่านว่าวูสเตอร์ซอส) ก็เข้าทีดีเหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

น้ำพริกอ่อง



จริง ๆ เคยมีน้องเอาสูตรน้ำพริกอ่องมาลงแล้ว (สูตรน้องเขาจะทำง่ายกว่า เพราะว่าใช้น้ำพริกสำเร็จ) แต่ว่าเราดันถ่ายรูปมาซะสวย เลยอยากเอาลงบ้าง :P สำหรับน้ำพริกอ่องนี่ คนเหนือสมัยก่อนเขาถือว่าเป็นน้ำพริกชั้นสูงนะครับ เพราะว่าใส่หมูสับด้วย อาหารเหนือสำหรับชาวบ้านโดยทั่วไปก็จะเน้นพวก ผัก ปลา ไก่ ไปตามเรื่องนะครับ หมูนี่จะเลี้ยงไว้กินเฉพาะวันพิเศษ ๆ จริง ๆ เท่านั้น ดังนั้นน้ำพริกที่ใส่หมูสับนี่ ต้องถือว่าไฮโซมากนะครับ

วิธีการทำน้ำพริกอ่องก็เริ่มจากการทำน้ำพริกก่อน ก็เอา ตะไคร้ พริกแห้งแช่น้ำพอนุ่ม เกลือ น้ำปลา กะปิ หอมแดง กะเทียม รากผักชี มาโคลกให้เข้ากันนะครับ บางบ้านก็จะใส่ถั่วเน่าด้วย ก็แล้วแต่ชอบครับ พอเตรียมน้ำพริกเสร็จแล้ว ก็เอาน้ำมันใส่ลงในกะทะ ตั้งไฟพอร้อน ก็เอาน้ำพริกลงไปผัด ตามด้วยหมูสับ และมะเขือเทศสีดา (ฝรั่งเรียก grape tomato) หั่นครึ่งแล้วนะครับ บางบ้านจะเอามะเขือเทศลงไปโคลกกับน้ำพริกให้มันเละ ๆ ด้วย แต่ผมเน้นใช้ตะหลิวบี้ ๆ เอา ก็ผัดไปเรื่อย ๆ จนหมูสุก ก็เติมน้ำลงไปน่อยนะครับ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนมะเขือเทศสุกนุ่มเละน่ากิน ก็ปรุงรส เวลาเสริฟก็เอาผักชีโรยหน้านิด ก็เสร็จแล้วครับ กินกับไข่ต้มและผักต้มก็อร่อยดีนักแล

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปลาทอดน้ำปลา



ไปเดินตลาดวันนี้เห็น Catfish (ตระกูลเดียวกับปลาบึก ปลากด หรือว่าปลาดุกบ้านเรา เป็นพวกปลาไร้เกล็ดทั้งหลาย) ขายถูก ๆ ก็เลยคว้ามาหนึ่งแพ๊ค คาดว่าเอามาทอดคงจะอร่อยน่าดู เพราะว่าปลาตระกูลนี้ ก้างน้อย ไม่มีเกล็ดให้รำคาญใจ แถมเนื้อก็มีแต่มัน ทอดแล้วจะอร่อยมาก ก็เลยกะเอามาทำปลาทอดน้ำปลา

วิธีการทำก็เริ่มจากหั่นปลาเป็นชิ้นพอคำ เสร็จแล้วก็เอาน้ำปลาลงไปคลุกกะปลา ทิ้งไว้สักพัก ก็เอากะทะตั้งไฟใส่น้ำมันลงไป เปิดไฟแรงสุด พอน้ำมันร้อนดี (สังเกตุดูว่า เริ่มมีไอน้ำมันลอยขึ้นมา) ก็เอาชิ้นปลาลงไปคลุกกับแป้งมันให้แป้งมันติดทั้วทั้งชิ้นปลา ก็หย่อนปลาลงกะทะ ใครชอบแป้งหนากรอบ ก็คลุกนาน ๆ หน่อยให้แป้งติดเยอะ ๆ แต่ถ้าใครไม่ชอบแป้งเยอะ ก็เอาแค่พอทั่ว ๆ นะครับ ทอดไปเรื่อย ๆ จนด้านนอกเป็นสีน้ำตาลทอง ก็เอาขึ้นมาพักไว้ให้น้ำมันหยดแห้งดี ก็เอาลงใส่จานได้เลยครับ

ปลาทอดนี่ ถ้าจะให้อร่อย ควรจะกินกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยว เผ็ด เค็มนะครับ ถ้าทำง่าย ๆ ก็เอาพริกขี้หนู กะเทียม น้ำปลา มะนาว มาผสมกัน ปรุงให้ได้รส แล้วก็ใส่ผักชีสับตามลงไปหน่อย ก็ได้ที่แล้วครับ

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กุ้ยช่ายผัดหมู



ดอกกุ้ยช่าย หรือว่า ดอกไม้กวาด เป็นผักที่ดีต่อสุขภาพ มีธาตุเหล็กเยอะช่วยสร้างเม็ดเลือด สตรีที่พึ่
มีลูกกินดอกกุ้ยช่ายบ่อย ๆ จะช่วยสร้างน้ำนม ผู้สูงอายุควรกินดอกกุ้ยช่ายเป็นประจำเพื่อช่วยปรับสมดุลในร่างกาย

วิธีการทำกุ้ยช่ายผัดหมู ก็ไม่อยากครับ ผมชอบหั่นหมูเป็นชิ้นใหญ่ ๆ แต่ให้บางนิดหนึ่งนะครับ จะเคี้ยวสนุก เสร็จแล้วก็หั่นกุ้ยช่ายให้ยาวสักนิ้วครึ่ง เตรียมไว้ วิธีการทำก็เริ่มจากเอากะทะตั้งไฟให้ร้อนมาก ใส่น้ำมันลงไป พอน้ำมันเริ่มร้อย ก็ใส่กระเทียมสับลงไป เจียวกระเทียมให้หอมเสร็จแล้วก็ใส่หมูลงไปผัด ตามด้วยซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ พริกไทยนิดหน่อย และซ๊อสหอยนางรม ผัดไปเรื่อย ๆ พอหมูเริ่มสุก ก็เอาน้ำใส่ลงไป เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ให้หมูนุ่ม พอหมูนุ่มดี ซ๊อสเหนียว ก็โยนกุ้ยช่ายลงไป สบัดกะทะสักสามสี่ที ก็เอาขึ้นได้เลยครับ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะว่ากุ้ยช่ายจะไม่กรอบ

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แกงเผ็ดเป็ดย่าง



เด็กที่บ้านอยากกินแกงเผ็ดเป็ดย่าง (อาทิตย์หน้าคงอยากกินเป็นปักกิ่ง สงสัยต้องเตรียมทำแป้ง) แถมซื้อน่องเป็ดมาให้สองน่อง จริง ๆ ใช้เนื้ออกจะอร่อยกว่าครับ เนื้อน่องมันมันไปหน่อย ขั้นตอนการทำก็คือเอาเป็ดมาย่างก่อนครับ (ตามชื่อเลย) วิธีการย่างก็เอาเป็ดไปหมักกับซีอิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำมันงานิดหน่อย น้ำผึ้ง(ถ้ามี) นวดให้เข้าเนื้อ แล้วก็ตั้งเตาอบที่ 450F พออุณหภูมิได้ที่ ก็เอาเป็ดเข้าไปย่างสัก 15 นาทีครับ พอให้หนังเป็ดเหลืองกรอบ ก็เอาออกมาพักไว้ พอเย็นลงก็สับให้เป็นชิ้น ๆ พอคำ

ทำเตรียมเป็ดเสร็จ ก็เอาหัวกะทิขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำพริกแกงแดงลงไป ตั้งไฟกลางเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนกะทิแตกมัน (ในรูปมันยังไม่ค่อยแตกมันเท่าไหร่ครับ แต่ว่าหิวกัน ก็เลยทำแบบเร็ว ๆ ) พอกะทิแตกมันดี ก็เอาเป็ดย่างใส่ลงไป เร่งไปให้แรง ตามด้วยใบมะกรูด มะเขือเทศสีดา สัปปะรด ใบโหระพา น้ำมะขามนิดหน่อย น้ำตาลปึก น้ำปลา ปรุงให้ได้รสเผ็ดหวาน นะครับ อย่าให้เปรี้ยวนำ พอคนไปมาสักพักให้มะเขือเทศนิ่มดี ก็ยกลงได้เลยครับ