วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ขนมต้มใบเตย

งานเดียวกันกับขนมกลีบลำดวน ช่วยกันทำกะผู้ใหญ่(ที่)บ้านไว้เป็นตัวเลือก บวกกับคนทำอยากกินด้วย หุหุ

สิ่งที่ต้องเตรียม
  • แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
  • กะทิ 2 ช้อนโต๊ะ
  • มะพร้าวขูดสำหรับทำไส้ 100 กรัม
  • มะพร้าวขูดสำหรับคลุก 1 ถ้วย
  • น้ำใบเตย 1/4 ถ้วย
  • น้ำตาล 1/2 ถ้วย
  • เกลือ 1/8 ช้อนชา


วิธีทำ
1. เริ่มจากทำไส้ก่อน เอามะพร้าวกับน้ำตาลใส่หม้อ ตั้งไฟกลาง คนไปเรื่อยๆ จนเหนียว ปิดไฟพักไว้ให้เย็น ปั้นเป็นก้อนกลม
2. ผสมมะพร้าวขูดกับเกลือ แล้วเอาไปนึ่งพอร้อน พักไว้
3. นวดแป้งข้าวเหนียวกับกะทิและน้ำใบเตยจนเข้ากันดี ปั้นเป็นก้อนกลม แล้วรีดเป็นแผ่นกลม ใส่ไส้ที่เตรียมไว้จากข้อ 1 ห่อให้เป็นก้อนกลม แล้วนำไปต้มในน้ำเดือดใช้ไฟปานกลาง พอสุกแป้งจะลอยขึ้นมา ช้อนขึ้นแล้วคลุกกับมะพร้าวที่เตรียมไว้ในข้อ 2 เป็นอันเสร็จ กินได้
หมายเหตุ สูตรเอามาจากหนังสือ popular thai cruisine ของสำนักพิมพ์แสงแดด

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ขนมกลีบลำดวน



เพื่อนชวนไปกินเลี้ยงวันคริสต์มาส ก็เลยทำขนมไปร่วมงานด้วย ก็ช่วยกันทำกับเด็กที่บ้านเพราะว่าจะทำไปสองอย่าง (เผื่อว่าไม่ชอบอันนี้ ก็จะได้กินอีกอันนั่นเอง) จะว่าไปแล้ว ขนมกลีบลำดวนน่าจะเป็นขนมที่ทำง่ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมคือ
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วย
  • น้ำตาล 1 ถ้วย
  • น้ำมันพืช หรือว่าน้ำมันถั่วเหลือง 3/4 ถ้วย
  • ไข่แดงตี
  • ดอกมะลิ กระดังงา หรือว่าควันเทียน (ถ้ามี)
ปกติทำอาหารผมจะไม่ค่อยชั่งตวงวัด แต่ว่าทำขนมถ้าไม่ตวงนี่ จะล่มเอาได้ง่าย ๆ ดังนั้นก็ต้องตวงกันหน่อย วิธีการทำ ก็เริ่มจากเอาแป้งมาร่อนให้ละเอียด ตามด้วยน้ำตาลร่อนให้ละเอียดเหมือนกัน แล้วก็ผสมให้เข้ากับแป้ง พอเข้ากันดีแล้ว ก็ค่อย ๆ เทน้ำมันใส่ลงไปผสมกับแป้งและน้ำตาล ค่อย ๆ ใส่น้ำมันแล้วก็นวดแป้งไปเรื่อย ๆ ระวังอย่าให้แป้งเหลวเกินนะครับ ก็นวดไปเรื่อย ๆ จนแป้งเนียนเข้ากับดี ก็ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางสักสองเซ็นติเมตร ก็ปั้นไปเรื่อย ๆ จนเกือบหมดแป้ง พอปั้นเสร็จก็เอามีดคม ๆ บาง ๆ มาหั่นแป้งให้เป็นสามแฉก แบะออกเป็นกลีบดอก แล้วปั้นแป้งเป็นลูกกลม ๆ เล็ก วางข้างบนเป็นเกษรดอกไม้ (ดูรูปข้างบน) ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดแป้งแล้วก็เอาไข่แดงมาป้าย ๆ ตรงเกษรดอกไม้สักนิดหน่อย เสร็จแล้วก็เอาไปอบที่ความร้อนสัก 350 F สัก 8-10 นาที ก็คอยดู ๆ เอานะครับ ว่าแป้งเหลืองออกสีน้ำตาลนิด ๆ ก็ใช้ได้แล้วครับ เอามาพักไว้ให้เย็น


ถ้าใครอยากอบให้หอม ก็เอาขนมใส่โถก้นลึก เอาดอกมะลิหรือว่าควันเทียนใส่ในถ้วยวางลงไป ปิดฝาไว้ ทิ้งไว้สักคืน ก็หอมแล้วครับ  :)

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

น่องไก่อบโรสแมรีราดซ๊อสมะขาม


เด็กที่บ้านอยากกินอะไรแปลก ๆ ก็เลยเปิดตำราอาหารไปเจอเจ้านี่เข้า วิธีการทำก็ไม่ยาก เริ่มจากเอาน่องไก่มาซับน้ำให้แห้งเสร็จแล้วก็เอาเกลือมาโรย ๆ บางให้ทั่ว แล้วก็เอาน่องไก่ไปวางบนจานทนไฟ หรือว่าตะแกรงเสร็จแล้วก็เอาโรสแมรี (rosemary) และ ออรีกาโน (oregano) โรยให้ทั่วแล้วก็ราดด้วยน้ำมันมะกอก พอทำเสร็จแล้ว ก็ preheat เตาอบไว้ที่ 300F พอความร้อนได้ที่ก็เอาน่องไก่เข้าไปอบไปเรื่อย ๆ พอไก่แห้งได้ที่ ก็เปลี่ยนเร่งไฟเตาอบให้ขึ้นไปสัก 450F เพื่อให้หนังกรอบนะครับ


ระหว่างที่อบไก่ ก็ทำน้ำราด โดยเอาน้ำใส่หม้อใบเล็ก ๆ หนึ่งส่วนและใส่น้ำมะขามลงไปอีกหนึ่งส่วน แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำเริ่มงวด ก็ใส่น้ำตาลปึกลงไปเยอะพอควร พอให้หวานน้ำ แล้วก็โรยเกลือ พริกไทยดำบด และลูกผักชีลงไป แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำเริ่มเหนี่ยว ก็ใช้ได้ครับ


กินกับข้าวสวยก็อร่อยดีเหมือนกัน หรือว่าจะกินกับมันบดก็ได้

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ชิฟฟอนส้ม


เบื่อๆ เลยทำขนมเล่นดีกว่า ถามคุณ pC ว่ากินชิฟฟอนส้มมั้ย ตอนแรกบอกว่าไม่เอา แต่พอเห็นรูปก็อยากกินขึ้นมาทันที วันนี้ก็เลยต้องมาเป็นลูกมือกิตติมศักดิ์ (หายาก)

มาดูส่วนผสมกัน
แป้งเค้กร่อน 1+1/2 ถ้วย
ผงฟู 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
ไข่ไก่ (แยกไข่แดง ไข่ขาว) 4 ฟอง
น้ำมันพืช 1/4 ถ้วย
น้ำส้มคั้น 1/3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
กลิ่นส้ม 1 ช้อนชา
สีผสมอาหารสีส้ม 1/2 ช้อนชา
ครีมออฟทาร์ทาร์ 2 ช้อน (แต่ที่บ้านไม่มี เลยไม่ได้ใส่)
มาการีนหรือเนยสด สำหรับทาถาด

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบไว้ก่อนที่ 250 องศา F ทาเนยให้ทั่วถาด ปูกระดาษไขทับ ทาเนยให้ทั่วอีกหน พักไว้
2. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ 2 ครั้ง พักไว้
3. ผสมไข่แดง น้ำมัน น้ำส้ม น้ำตาล (1/4 ถ้วย) กลิ่นส้ม สีส้ม ตีด้วยตะกร้อให้เข้ากัน แล้วค่อยใส่แป้งทีละหน้อย คนตะล่อมให้เข้ากันจนหมดแป้ง
4. ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาร์ทาร์ในอ่างผสม ใช้หัวตีตะกร้อ ตีด้วยความเร็วสูง จนไข่ขาวขึ้นฟูเล็กน้อย ค่อยๆ ใส่น้ำตาลที่เหลือทีละน้อยจนหมด ตีจนไข่ขาวตั้งยอดแข็ง ปิดเครื่อง ใช้พายยางตักไข่ขาวใส่ลงผสมในอ่างแป้งที่ทำไว้ทีละน้อย คนเบาๆ ด้วยตะกร้อไปทางเดียวกันให้เข้ากันอย่างรวดเร็ว จนไข่ขาวหมด
5. เทส่วนผสมใส่ถาดที่เตรียมไว้ ยกถาดเคาะเบาๆ 2-3 ครั้ง เพื่อไล่อากาศ
ุ6. ปรับเตาอบเป็นอุณหภูม 325 องศา F อบจนเค้กสุก (ที่บ้านใช้เวลาประมาณ 30 นาที)
7. ยกออกมาพักไว้ 5-10 นาที คว่ำออกจากถาด ลอกกระดาษไข วางพักบนตะแกรงจนเย็น

จากนั้นก็มาทำ บัตเตอร์ครีมส้ม
ส่วนผสมมี
เนยจืด (ก้อนละ 227 g) 3/4 ก้อน พักให้นุ่ม
เนยขาว 1/4 ถ้วย
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลไอซิ่งร่อน 1/2 ถ้วย
นมข้นจืด 1/3 ถ้วย
กลิ่นส้ม 1+1/2 ช้อนชา
สีส้ม 1/2 ช้อนชา (ไม่ได้ใส่)

วิธีทำ ตีเนยสด เนยขาว เกลือ ด้วยหัวตีใบพัดด้วยความเร็วสูง จนเนยขึ้นฟูเป็นสีครีมนวล ค่อยๆ ใส่น้ำตาล จนหมด ค่อยๆ รินนมข้นจืดจนหมด ใส่กลิ่นส้ม สีส้ม ตีจนขึ้นฟูเบาเข้ากันเป็นครีม

พอเค็กเย็น ก็แบ่งเป็นสองส่วน ทาครีมปาดให้ทั่วบ่นแผ่นแรก แล้วอีกแผ่นประกบให้เสมอกัน ตัดเป็นชิ้นๆ กินได้ :-)

หมายเหตุ สูตรมาจากหนังสือ เบเกอรีเป็นอาชีพ ของสำนักพิมพ์แสงแดด

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ซี่โครงหมูน้ำแดง

เด็กที่บ้านอยากกิน ซี่โครงหมูน้ำแดง วิธีการทำก็คล้าย ๆ กับปีกไก่น้ำแดง วิธีทำคือหั่นซี่โครงหมูให้เป็นชิ้นพอคำ จะให้ดีควรมีซี่โครงอ่อนติดอยู่ด้วยจะดีมาก เสร็จแล้วก็เอาหมูลงไปทอดน้ำมันร้อน ๆ จนหมูสุกเกรียมก็เอามาพักไว้ เสร็จแล้วก็ไปเตรียมน้ำราด วิธีการทำน้ำราด ก็ตามแบบปีกไก่เหล้าแดง พอได้น้ำราด ก็ซี่โครงหมูที่ทำไว้ลงไปคลุกกับน้ำราดแล้วก็คลุกเคล้าไปมาให้น้ำราดเข้ากับหมูจนเข้ากันดี ก็กินได้เลยครับ

ปล. รูปมันควรจะแดงกว่านี้นะ แต่มันออกมาไม่ค่อยแดงแหะ

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ก๋วยเตี๋ยว(หลอด)(น่อง)ไก่ตุ๋น

เด็กที่บ้านอยากกินน่องไก่ตุ๋น ก็เลยได้ออกมาแบบนี้เห็น



วิธีทำก็เริ่มจากเอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟใส่ซี่โครงไก่ลงไปต้มให้ได้น้ำซุป ถ้าไม่มีก็ใช้ซุปไก่ก้อนก็ได้ครับ พอน้ำเริ่มร้อนก็ใส่ขึ้นฉ่าย เกลือนิดหน่อยและรากผักชีลงไป ต้มลงไปเรื่อย ๆ จนซุปข้นดีนะครับ ก็หรีไฟพักไว้




ต่อมาก็เอาหม้อตุ๋นขึ้นตั้งไฟนะครับ ใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อยแล้วก็กระเทียมลงไปผัดพอหอมก็ใส่อบเชย (ที่เห็นแป็นแท่ง ๆ) กับโป๊ยกั๊ก (ดอกไม้แปดแฉก) แล้วก็พริกไทยลงไปนะครับ




ผัดไปสักพักก็เร่งไฟให้แรงแล้วใส่น่องไก่ลงไปผัดให้ด้านนอกสุกนะครับ พอด้านนอกสุกดี ก็เอาน้ำซุปที่ทำตอนแรกใส่ลงไปในหม้อตุ๋น ปล่อยให้ไฟแรงไปสักพักจนน้ำเดือดระหว่างนั้นก็ชอนฟองออกเรื่อย ๆ พอน้ำเดือดก็หรี่ไฟลงให้เหลือแต่ไฟอ่อน ปิดฝาแล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ นะครับ



ระหว่างนั้นก็ไปลวกเส้นนะครับ พอดีว่าวันนี้จะกินเส้นก๋วยจับกัน ก็นึ่งเส้นแทน แล้วก็อย่าลืมลวกถั่วงอกไว้ด้วยนะครับ พอเส้นพร้อมแล้วก็กินได้เลยครับ




วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข้าวซอยไก่

เด็กที่บ้านอยากกินข้าวซอย จริง ๆ แล้วผมมีป้าที่ทำข้าวซอยขายอยู่ (ถ้าใครอยู่ลำพูน อาจจะรู้จักลุงสมกาแฟกับป้าปุ๊ข้าวซอย) ดังนั้นข้าวซอยก็เป็นอาหารโปรดอย่างหนึ่งของผมเหมือนกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้ทำบ่อย ๆ ก็เพราะว่าเครื่องมันเยอะทำนาน



ขั้นตอนการทำก็เริ่มจากทำน้ำพริกก่อนนะครับ ถ้าทำง่าย ๆ ก็ใช้พริกแกงแดงมาปั่นกับขิง ปริมาณก็พอ ๆ กันนะครับ น้ำพริกหนึ่งกระป๋อง ขิงราว ๆ ครึ่งถ้วย



พอปั่นได้ที่แล้วก็เอาน้ำมันใส่ในกะทะหรือว่าหม้อตั้งไฟพอน้ำมันร้อน ก็เอาน้ำพริกลงไปผัดนะครับพอมีกลิ่นหอมดี ก็เอาไก่ที่หั่นเป็นชิ้น ๆ พอคำแล้วลงไปผัด



ก็ผัดไก่กับน้ำพริกไปเรื่อย ๆ จนไก่เริ่มสุกก็ใส่ผงกะหรี่ลงไปแล้วก็คลุกให้ผงกะหรี่เข้ากับไก่ดี




พอไก่สุกดีก็ใส่กะทิลงไปนะครับ กะให้เกือบ ๆ ท่วมเนื้อไก่ แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อย ๆ อย่าใช้ไฟแรงมากนะครับ




พอกะทิเริ่มแตกมัน ก็ใส่น้ำลงไปให้ท่วมเนื้อไก่แล้วก็ใช้ไฟต่ำเคี่ยวไปเรื่อย ๆ นะครับ ปรุงรสด้วยน้ำปลาน้ำตาลตามชอบครับ

ระหว่างนี้ก็เตรียมเครื่องนะครับ เครื่องพื้นฐานที่ต้องมีก็คือ หอมแดงซอย ผักกาดดองซอย กับพริกป่นคั่วนะครับ วิธีการทำพริกป่นคั่วก็คือเอาน้ำมันใส่หม้อสักสองช้อนโต๊ะ แล้วพอน้ำมันร้อนก็ใส่พริกป่นลงไปพอ ๆ กันแล้วก็ใส่น้ำตาลปึกลงไปสักนิ้วหัวแม่มือนะครับ แล้วก็เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนพริกเริ่มมีสีเข้ม ก็เทใส่ถ้วยไว้นะครับ พอพริกเย็นก็จะจับตัวเป็นก้อน ก็ค่อย ๆ ใช้ช้อนบดให้แตกออกจากกัน ก็ใช้ได้แล้วครับ

พอเตรียมเครื่องแล้วเสร็จแล้วก็มาเตรียมเส้นนะครับ ก็ใช้เส้นบะหมี่แบบแบบเอาไปต้มให้นุ่มแล้วก็เอาไปผ่านน้ำเย็นให้หายร้อนนะครับ (ไม่งั้นจะเละ) แล้วก็ใส่ชามคลุกกับน้ำมันไว้เพื่อไม่ให้เส้นติดกันนะครับ สุดท้ายก็แบ่งเอาเส้นบางส่วนไปทอดกันน้ำมันให้เหลืองกรอบนะครับ แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ







วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ถั่วฝักยาวผัดพริกแกงกุ้ง



เมื่อวานทำถั่วฝักยาวผัดพริกแกงหมู วันนี้ถั่วฝักยาวเหลือก็เลยทำอีกรอบแต่เปลี่ยนเป็นกุ้งแทน วิธีทำก็ไม่ยากครับ เอาพริกแกงลงไปผัดกับน้ำมันให้หอมใส่กระเทียมลงไปด้วย พอหอมดีแล้วก็เอาถั่วฝักยาวลงไปผัดกับน้ำพริกใส่น้ำลงไปนิดหนึ่งให้ถั่วฝักยาวนุ่มนะครับ พอถั่วฝักยาวนุ่มดีแล้วก็ใส่ใบโหระพากับกุ้งลงไป ผัดไปจนกุ้งสุกก็ใส่น้ำปลาลงไปปรุงรสก็เสร็จแล้วครับ :)

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Yeast ! We can

ในระหว่างที่ทีวีทุกช่องกำลังรายงานข่าวเลือกตั้งประธานาธิปดีของสหรัฐฯ ชนิดนาทีต่อนาที มีคนรอลุ้นอยู่ทั่วประเทศ แหะๆ ไปทำขนมปังดีกว่า กว่าจะเสร็จคงรู้ผลพอดี (เกี่ยวอะไรกันเนี่ย)

เป็นเด็กที่บ้านของเวปนี้มานาน เพิ่งได้รับเชิญให้เขียนกะเค้าบ้าง ขอประเดิมโพสต์แรกด้วย ขนมปังเนยสด ละกัน

เนื่องมาจากว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี บ้านเราก็เลยไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ นอกจากนั้นของต่างๆ ในตู้เย็นก็ร่อยหรอ แต่ไม่ต้องห่วงเราได้ตุนแป้งชนิดต่างๆ ไว้แล้ว เมื่อไม่มีข้าวจะกิน เก๊าะกินขนมปังแทนละกัน ของที่ใช้ก็เป็นของที่มีติดบ้านฮับ อันได้แก่ แป้งขนมปัง แป้งเค้ก นม เนย น้ำตาล เกลือ ยีสต์ นมข้นจืด นมผง ไข่ไก่ วานิลลา น้ำเปล่า (ขนาดไม่ค่อยมีของในตู้เย็นนะเนี่ย) เอ ต้องบอกมั้ยเนี่ย ว่าใช้อะไรเท่าไหร่ ทุกทีไม่เห็นพี่ Pruet เขียนเลย บอกว่าให้กะๆ เอา หุหุ ว่าแต่ทำขนมปังไม่บอกว่าใส่อะไรเท่าไหร่ จะทำได้มั้ยอ่ะ เอาเป็นว่าใส่ไว้หน่อยละกัน

ขนมปังเนยสด
แป้งขนมปัง 3 ถ้วย
แป้งเค้ก 1+1/2 ถ้วย
นมผง 1/4 ถ้วย
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำ 2/3 ถ้วย
นมข้นจืด 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนชา
วานิลลา 1 ช้อนชา
ยีสต์ 1/2 ช้อนโต๊ะ
เนยสดชนิดจืด 4 ออนซ์
เนยสดชนิดเค็ม 8 ออนซ์ หั่นเป็นชิ้นเล็ก แช่เย็นจัด
ไข่ไก่ตีให้เข้ากัน สำหรับทาหน้า
น้ำตาลไอซิ่ง สำหรับโรยหน้า
เนยหรือมาการียน สำหรับทาถาด
เยอะชะมัด ทีนี้ก็มาถึงวิธีทำ เอาแป้งขนมปัง แป้งเค้ก นมผง มาร่อน 2 ครั้ง พักไว้ก่อน

จากนั้น ก็เอาส่วนผสมที่เหลือ อันได้แก่ ไข่ น้ำ นมข้นจืด น้ำตาล เกลือ และวานิลลา ใส่อ่างตีด้วยตะกร้อ พอให้เข้ากัน

แ้ล้วก็เอามาเทใส่เครื่องทำขนมปัง เพื่อเป็นการทุ่นแรง ไม่ต้องนวดเองให้ลำบาก (อันที่จริงเครื่องทำขนมปังนี้เป็นของพี่ Pruet แต่มันคงไม่ถูกกะพี่เค้า เพราะยังไม่เคยได้กินฝีมือพี่ Pruet อ๊ะ แต่ไม่ใช่พี่เค้าไม่เคยทำน๊า)
หน้าตาเครื่องทำขนมปังของพี่ Pruet

แล้วก็เทแป้งที่ร่อนเรียบร้อยแล้วใส่ลงไป ทำตรงกลางให้เป็นหลุม ใส่ยีสต์ ตั้งโปรแกรมทำ dough กดปุ่ม start พอแป้งเริ่มจับตัว เก๊าะเอาเนยจืดที่ละลายโดยการยัดใส่ไมโครเวฟซัก 20-30 วินาที เทลงไป

จากนั้น ก็ไปนั่งตีพุงเชียร์โอบามา ต่อไปได้ พอเริ่มจะแน่ใจว่าโอบามาชนะแน่ ก็ได้แป้งมาเตรียมปั้นได้ (เกี่ยวอะไรกันเนี่ย)

เตรียมถาดสำหรับอบ ทาเนยหรือมาการีนให้ทั่ว แต่คนทำขี้เกียจเลยล้างถาดเลยเอาฟรอยด์มาหุ้ม แล้วก็ฉีดเนยลงไป หุหุ

เอาแป้งออกจากเครื่องทำขนมปัง (ลืมถ่ายรูปอ่ะ ติดไว้คราวหน้าละกันน๊า) แบ่งเป็นก้อนเล็ก ก้อนละประมาณ 40 กรัม จากนั้นก็เอาแผ่แป้งให้เป็นแผ่นรียาว เอาเนยสดที่แช่เย็นวางตรงริมแป้ง แล้วม้วน วางเรียงใส่ถาด ทำจนหมด แล้วคลุมด้วยพลาสติก รอให้ขึ้นอีกซักหน่อย ระหว่างนั้นก็ไปฟังโอบามาพูดได้ รอซักพัก คนรอเริ่มรอไ่ม่ไหว เพราะอยากกินเต็มทีแล้ว เอาไข่ไก่ทาให้สีสวยๆ ก็เลยยัดเข้าเตาอบ อบที่ 340 องศาฟาเรนไฮต์ สัก 20 นาที ได้ออกมาหน้าตาประมาณเนี๊ยะ

เอาออกมาทาเนย เอาออกจากถาด วางพักบนตะแกรง โรยน้ำตาลไอซิ่งบางๆ เทคนิคในการโรยน้ำตาลไอซิ่ง ควรใช้ที่ร่อนแป้ง หรือกระชอนเล็กๆ แต่ที่บ้านที่ไซส์นี้เท่านั้น หุหุ

ภาพนี้ เจ้าของมือบอกว่า ขอมีเอี่ยวด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลย

กินได้แล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆ

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พะแนงเนื้อ

มีกะทิเหลือในตู้เย็นทิ้งไว้นานก็จะเสีย มีกะทิก็น่าทำพะแนงแถมเปิดตู้แช่เจอเนื้ออยู่ ก็ทำพะแนงเนื้อละกัน



เคยลงวิธีทำพะแนงกุ้งเอาไว้ วิธีทำก็คล้าย ๆ กัน สิ่งสำคัญคือเวลาหั่นเนื้อให้หั่นขวางเส้นนะครับ อย่าตามเส้นไม่งั้นเหนียวแย่ ตอนทำก็เคี่ยวเนื้อไปเรื่อย ๆ ให้เนื่อเปื่อยดี ไม่งั้นจะไม่อร่อยนะครับ ส่วนวิธีทำ ก็ไปดูตรงพะแนงกุ้งละกันครับ :D

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หมูผัดกะปิ

ทำอาหารไปนาน ๆ ก็เริ่มตัน ทุกวันนี้ก็เลยนึกถึงของที่จะทำโดยท่องไล่จาก ก ไก่ ไป ฮ นกฮูก (ฮ นี่เช่น แฮมอบน้ำผึ้ง) วันนี้ถึงคราวของกะปิ แต่จะทำข้าวคลุกกะปิก็ไม่ได้หุงข้าวทิ้งไว้ ก็เลยกลายมาเป็นหมูผัดกะปิแทน



เครื่องปรุงก็มีหมูสามชั้นหรือว่าหมูติดมัน เวลาทำพวกหมูหวาน หมูเค็ม หมูผัดกะปิอะไรพวกนี้ ใช้หมูติดมันจะอร่อยกว่าหมูเปล่า ๆ นะครับ ผมใช้สะโพกหมูหั่นตามขวางให้ได้ชิ้นใหญ่ ๆ หน่อย นอกจากนั้นก็มีตะไคร้ ใบมะกรูด พริกขี้หนู กระเทียม หอมแดง น้ำตาลปึก แล้วก็กะปินะครับ ก็หั่น ๆ ซอย ๆ เครื่องปรุงให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้ ถ้ามีครก ก็เอาไปโขลกในครกก็ได้ครับเสร็จแล้วก็เอากะทะตั้งไฟกลาง เอาน้ำมันใส่ลงไป พอน้ำมันร้อนก็เอาเครื่องปรุงที่โขลกไว้ลงไปผัดให้หอม พอสุกแล้วก็เอาน้ำตาลปึกกับกะปิใส่ลงไป ใส่กะปิเยอะหน่อยนะครับ พอกะปิละลายหอมดี ก็เอาหมูใส่ลงไป แล้วก็ใส่น้ำลงไปพอขลุกขลิกแล้วก็ผัดหมูไปเรื่อย ๆ จนน้ำงวด เหนียวดี ก็กินได้แล้วครับ

หมูผัดกะปิ

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

หมูก้อนราดซ๊อสเปรี้ยว



เด็กที่บ้านเปิดตำราทำอาหารแล้วชี้ ๆ บอกว่าอยากกินหมูก้อนทอด แต่ทำไปทำมา กลายเป็นหมูก้อนราดซ๊อสเปรี้ยวซะงั้น!!!

จริง ๆ อาหารจานนี้ก็คล้าย ๆ กับหมูชุบไข่ทอดเพียงแต่ว่าไม่ชุบไข่ และทำซ๊อสราดแค่นั้นเอง การทำก็เริ่มจากเอาหมูสับ(เอาแบบที่มีมันหมูแทรกมาด้วย จะอร่อยกว่าแบบที่มีแต่เนื้อหมูอย่างเดียว)มาหมักกับรากผักชี พริกไทย กระเทียมสับละเอียด น้ำปลา เกลือนิด ๆ แล้วก็ใส่แป้งมันเข้าไปนิดหนึ่งเพื่อให้มันเด้ง ๆ แล้วก็คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วก็นวดส่วนผสมทั้งหมดไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าเหนียวได้ที่ ก็เอามาปั้นเป็นก้อน ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสองถึงสามเซ็นติเมตรนะครับ ระวังอย่าให้ก้อนใหญ่ไป เดี๋ยวทอดแล้วตรงกลางจะไม่สุก พอปั้นเสร็จหมดแล้วก็เอากะทะหรือว่าหม้อขึ้นตั้งไฟกลางใส่น้ำมันไปเยอะพอควร เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ก็เอาหมูลงไปทอดนะครับ คอยพลิกให้สุกทั่วทั้งก้อน แล้วก็ดูว่าถ้าหมูก้อนมีสีออกเป็นสีเหลืองแล้วก็เกรียมนิด ๆ ก็ใช้ได้แล้วครับ

ส่วนการทำซ๊อสนั้น ก็คล้าย ๆ กับทำซ๊อสราดปีกไก่น้ำเหล้าแดง ต่างกันแต่ว่าปรุงรสให้เปรี้ยวนิดหนึ่ง ส่วนผสมของซ๊อสก็มีซ๊อสมะเขือเทศ ซ๊อสผริกศรีราชา ซ๊อิ้วขาว ซีอิ้วดำ น้ำตาลปีก โดยใส่ซีอสมะเขือเทศเยอะหน่อยนะครับ แล้วก็เอาไปตั้งไฟค่อยๆ คนไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายหมด ก็ชิมรสดู ให้รสเปรี้ยวนำนิดหนึ่ง ก็ใช้ได้แล้วครับ เอาไปราดบนหมูที่ทอดเสร็จแล้ว เอาผักชีลงไปวางพอให้สวยงาม ก็รับประทานได้แล้วครับ :D

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

หมูสับห่อผักกาดขาวตุ๋นเห็ดหอม

วันนี้คิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็เลยเปิดตำราหาอะไรแปลก ๆ กินซะเลย ก็เลยเจอเจ้านี้เข้า ก็เลยลองทำดู (จริง ๆ ในหนังสือมันจะต่างจากนี้ แต่ว่านี่ก็ improvise เอาบ้าง)


วิธีการทำก็เริ่มจากเอาหมูสับมาผัดกับเต้าหู้แข็ง ก็ผัดไปเรื่อยจนหมูสุกก็เอาขึ้นมาพักไว้ ต่อมาก็เอาหม้อต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบผักกาดขาวลงไปต้ม จนผักกาดขาวนิ่มก็เอาขึ้นมาแช่น้ำเย็น ไม่งั้นผักกาดขาวจะเละนะครับ อ้อ ผมเอาก้านคื่นช่ายฝรั่งลงไปต้มด้วย เดี๋ยวจะเอามามัดนะครับ แต่ถ้าไม่มี ก็ใช้ผักอะไรก็ได้ที่ยาว ๆ ใช้มัดได้ แต่ไม่ควรใช้พวกต้นหอมนะครับ เพราะว่ากลิ่นมันแรง พอผักกาดขาวเย็นดีแล้ว ก็ตักหมูผัดเต้าหู้วางลงไปบนผักกาดขาว ก็วางลงไปตรงก้านนะครับ แล้วก็ค่อย ๆ ม้วนใบผักกาดขาวขึ้นไปจนสุดแล้วก็พับปลายสองข้างให้ปิดหัวท้ายไว้นะครับ เสร็จแล้วก็เอาก้านคึ่นช่ายฝรั่งมาฉีก ๆ ให้เป็นเส้นแล้วก็เอามามัดไว้ แล้วก็เอาไปเรียงไว้ในหม้อตุ๋นนะครับ ทำไปจนหมูที่ทำไว้หมด หรือว่าใบผักกาดขาวหมดนะคับ ต่อจากนั้น ก็เอาน้ำซุบกระดูกหมูใส่ลงไปจนท่วม จะให้ดี ไม่ควรใช้น้ำซุบที่มันเกินไปนะครับ จะทำให้ผักเสียรสชาติ ถ้าจะทำง่าย ๆ ก็ใช้ซุบหมูก้อนคะน้อเอาก็ได้ ราดน้ำซุบลงไปแล้ว ก็ใส่ซีอิ้วขาวลงไปหน่อยเพื่อให้มีกลิ่นและได้รสชาติดีขึ้น ตามด้วยน้ำมันงานะครับ น้ำมันงานี่ อย่าใส่เยอะนะครับ จะเลี่ยน ใส่พอให้ได้กลิ่นหอมก็พอแล้ว ตรงกลางก็เอาเห็ดหอมมาวางไว้สักสองสามหัวนะครับ เสร็จแล้วก็เอาหม้อตุ๋นตั้งไฟ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ กะว่าผักนิ่มมากแล้ว ก็กินได้แล้วคัรบ

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เกี้ยวหมู

เปิดตู้เย็นมา เจอแต่ความว่างเปล่า(อีกแล้วครับท่าน) แต่พอดีเหลือบไปเห็นแผ่นเกี้ยวที่เหลือจากคราวก่อนก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าทำเกี้ยวน้ำกินดีกว่า



วิธีทำก็เริ่มจากทำเตรียมใส้เกี้ยวก่อนนะครับ จริง ๆ ในตู้เย็นมีกุ้งด้วยแต่ว่าขี้เกียจเกินไป ก็ทำใส้หมูสับธรรมดานี่แหละ ก็เอาหมูสับมาหมักกับซอสหอยนางรมนิดหน่อยซีอิ้วขาวแล้วก็พริกไทยนะครับ อย่าใส่กระเทียมหรือว่าน้ำปลา เพราะกว่ากลิ่นมันจะแรงไปนะครับ แล้วก็นวดหมูให้มันเหนียวนุ่มใช้ได้ก็พักไว้นะครับ ถ้าใครจะทำใส้กุ้งก็เอากุ้งมาบดแล้วก็ผสมกับหมูนิดหน่อยนะครับ จะใส่เห็ดหอมด้วยก็ได้ครับแล้วแต่ชอบ


เสร็จแล้วก็เอาแผ่นเกี้ยวมาตักหมูใส่ตรงกลางแผ่นเกี้ยวสักหนึ่งช้อนชาแล้วก็เอาน้ำหรือว่าไข่ขาวทาตรงขอบนอกของเกี้ยวเสร็จแล้วก็รวบแป้งเกี้ยวเข้าหากันเพื่อให้เกี้ยวห่อหมูไว้ เอานิ้วจับ ๆ ตรงปลายของแป้งเกี้ยวให้ติดกันดีนะครับ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมูหมดหรือว่าเกี้ยวหมด พยายามอย่าให้มีอากาศอยู่ข้างในนะครับไม่งั้นเกี้ยวจะลอยแล้วจะดูยากว่าเกี้ยวสุกหรือยัง


พอห่อเกี้ยวเสร็จหมดแล้ว ก็เอาหม้อตั้งไฟใส่น้ำลงไปนะครับ พอน้ำเดือดก็เอาเกี้ยวลงไปต้ม สังเกตดูว่าตอนใส่เกี้ยวลงไปเกี้ยวจะจมครับ แต่พอเกี้ยวสุกมันจะลอยขึ้นมา ก็ปล่อยให้ลอยขึ้นมาสักพักก็ตักขึ้นมาได้เลยครับ อย่าทิ้งไว้นานเดี๋ยวแป้งเละ พอต้มเกี่ยวหมดแล้วก็เปลี่ยนน้ำในหม้อ ใส่รากผักชีกกับกระดูกหมูลงไปต้มให้ได้น้ำซุบใส่เกี้ยวลงไป ก็ทานได้เลยครับ

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ปอเปี้ยะทอดแผ่นเกี้ยว

เด็กที่บ้านอยากกินปอเปี้ยะทอด แต่ใช้แผ่นเกี้ยว!!!!! ที่ใส่เครื่องหมายตกใจเยอะ ๆ เพราะว่าแผ่นเกี้ยวมันเล็กมาก เล็กกว่าฝ่ามืออีก แล้วต้องเอามาม้วนมาเป็นปอเปี้ยะ แต่ก็ทำออกมาจนได้ ดังรูป



วิธีทำก็ไปดูที่ปอเปี้ยะทอดนะครับ เพราะว่ามันทำเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่าใช้แผ่นเกี้ยวมาห่อแค่นั้นเอง วิธีห่อก็ทำเหมือนกับห่อปอเปี้ยะปกติ แต่ว่าใส่ใส้ทีละนิด ๆ แค่นั้นเอง



ห่อแล้วก็จะเป็นแบบในรูปนี้



เสร็จแล้วก็เอาไปทอดนะครับ มีทริคอยู่ว่าเวลาทอดอย่าโยนปอเปี้ยะลงไปในกะทะตรง ๆ เพราะว่าปอเปี้ยะจะจมลงไปในก้นกะทะแล้วปอเปี้ยะจะติดก้นกะทะนิครับ วิธีการทอดที่ถูกต้องคือ เอาตะเกียบคีบปอเปี้ยะแล้วจุ่มลงไปในน้ำมันเดือด ๆ พอให้ด้านนอกเริ่มสุกก่อน (ดูได้จากเริ่มมีแผลผุผอง) ก็ถึงปล่อยลงไปทอดในกะทะได้นะครับ ก็ทอดไปเรื่อย ๆ จนแป้งเป็นสีเหลืองน้ำตาล ก็เอามาขึ้นมาพักน้ำมันนะครับ



ก็ทอดไปเรื่อย ๆ จนสุกหมดก็ได้เหมือนรูปข้างบนครับ จิ้มกินกันน้ำจิ้มไก่ หรือว่าน้ำจิ้มท้อก็อร่อยดีเหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ข้าวเหนียวปิ้ง

เด็กที่บ้านอยากกินข้าวเหนียวปิ้ง ถึงขั้นไปซื้อใบตองมาให้ ใบตองนี้ราคาแพงพอ ๆ กับผัก แต่ว่ากินไม่ได้นะครับ แต่ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ทำให้กิน



วิธีทำก็เริ่มจากเอาข้าวเหนียวมาแช่น้ำทิ้งไว้สักคืน พอเช้าก็เอารังถึงขึ้นตั้งไฟแล้วก็หุงข้าวเหนียวให้สุกนะครับ พอสุกดีแล้ว ก็เอากะทิใส่ลงไปในหม้อ เปิดไฟอ่อนหน่อย คนกะทิไปเรื่อย ๆ จนเริ่มเดือด ก็ใส่ข้าวเหนียวลงไปในหม้อนะครับ คนให้เข้ากับกะทิ แล้วก็ใส่น้ำตาลกับเกลือลงไปพอให้หวานเค็มมันนะครับ พอกะทิงวดดีแล้ว ก็ปิดไฟ แล้วทิ้งให้ข้าวเหนียวมูลเย็นนิดหนึ่ง แล้วก็เอาใบตองมาตัดให้ได้ขนาดสักสองฝ่ามือนะครับ แล้วก็ตักข้าวเหนียวมูลวางลงไปตรงกลาง ตัดกล้วยน้ำว้าเป็นชิ้นยาว ๆ วางทับลงไป แล้วเอาข้าวเหนียวทับลงไปอีกชั้น แล้วก็ห่อใบตองให้มิดชิด เสร็จแล้วก็เอาที่เย็บกระดาษเย็บหัวท้าย หรือว่าใช้ไม้กลัดกลัดไว้นะครับ จริง ๆ ถ้าแถวบ้านจะห่อให้เป็นแบบสามหลี่ยมนะครับ แต่ห่อยาว ๆ เย็บหัวท้ายก็ง่ายดี ทำจนข้าวเหนียวหมดหม้อนะครับ แล้วก็เอาไปปิ้งจนใบตองเหลืองกรอบ ก็เอามากินได้นะครับ

ข้าวเหนียวเปียก



เด็กที่บ้านอยากกินข้าวเหนียวเปียก พอดีมีข้าวโพดต้มกับเผือกต้มอยู่ ก็เลยได้ทำข้าวเหนียวเปียกเผือกกับข้าวโพด (จริงๆ เจ้าตัวคงอยากกินข้าวเหนียวเปียกลำใย แต่ลำใยมันหายากหน่อย) วิธีทำ ก็เริ่มจากเอาข้าวเหนียว(ที่ยังไม่ได้หุงนะครับ) ใส่หม้อแล้วก็ใส่น้ำลงไปให้พอท่วมข้าวแล้วก็เปิดไฟปานกลางแล้วก็คนไปเรื่อย ๆ ไม่งั้นข้าวจะใหม้ก้นนะครับ พอน้ำเดือดก็หรี่ไฟลง แล้วก็คนไปเรื่อย ๆ คอยสังเกตุดูว่าข้าวเริ่มบานหรือยัง พอเริ่มบานนิด ๆ ก็ใส่น้ำตาลลงไปนะครับ ถ้าใส่น้ำตาลลงไปช้า ข้าวจะเละง่ายนะครับ แต่ถ้าใส่ไวไป ข้าวจะแข็งใน หลังจากใส่น้ำตาลลงไปแล้วก็คนไปเรื่อย ๆ พอข้าวบานสุกดีแล้ว ก็ใส่ข้าวโพดต้มกับเผือกต้มที่หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วลงไปนะครับ ถ้าไม่ได้ต้มข้าวโพดและเผือกมาก่อน ก็ใส่ไปตอนที่ใส่น้ำตาลก็ได้ครับ หลังจากนั้น ก็ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย แล้วก็คนช้า ๆ ไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็ไปทำน้ำกะทินะครับ เอาหัวกะทิใส่ลงไปในหม้ออีกใบเปิดไฟต่ำ หมั่นคนไปเรื่อย ๆ พอกะทิร้อน ก็ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย พอให้ได้รสเค็มนิด ๆ ถ้าไม่มีหัวกะทิ ก็ใช้น้ำกะทิธรรมดา แต่เติมแป้งมันลงไปนิดหน่อยให้กะทิข้นขึ้นนะครับ พอข้าวเหนียวสุกได้ที่แล้ว ก็ตักใส่ถ้วย ราดกะทิลงไป ก็กินได้แล้วนะครับ :)

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

กะหล่ำปลีทอดซีอิ้วขาว

เด็กที่บ้านกินเจ(มัง?) ก็เลยทำอาหารเจให้กิน บังเอิญว่าที่บ้านมีกะหล่ำปลี เลยนึกถึงกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาขึ้นมา พอดีว่าเป็นอาหารเจ ก็เลยกลายเป็นทอดซีอิ้วแทน อย่างแรกก็เอากะหล่ำปลีไปล้างให้สะอาดก่อนเสร็จแล้วก็เอากะหล่ำปลีไปต้มในน้ำเดือด พอใบเริ่มใสก็เอาขึ้นมาแช่น้ำเย็นให้กะหล่ำปลียังกรอบอยู่ พอกะหล่ำปลีเย็นแล้วก็เอาขึ้นมาจากน้ำแล้วทิ้งไว้ให้น้ำแห้งดี ขณะเดียวกันก็เอากะทะใหญ่ตั้งไฟให้ร้อนที่สุด ใส่น้ำมันลงไปพอควร พอน้ำมันร้อนดีก็เอากระหล่ำลงไปทอดน้ำมัน ไม่ต้องพลิกบ่อย ๆ แล้วก็ทอดไปจนใบกะหล่ำปลีเริ่มใหม้ ตอนที่เริ่มใหม้นี่แหละครับที่กะหล่ำปลีจะมีกลิ่นหอมมาก



พอกะหล่ำปลีสุกดีแล้ว ก็เอาขึ้นมาพักไว้ ในขณะเดียวกันก็หรี่ไฟลงแล้วก็เอาน้ำใส่ลงไปในกะทะนิดหนึ่งแล้วแกว่งกะทะไปมาให้น้ำล้างน้ำมันลงมารวมไว้ เสร็จแล้วใส่ซีอิ้วขาวลงไปให้ได้รสเค็มนิด ๆ แล้วก็เร่งไฟ คอยหมั่นเอาตะหลิวคนในกะทะไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ใหม้ที่ก้นกะทะ พอน้ำในกะทะเริ่มเหนี่ยวนิด ๆ ก็เอากะหล่ำปลีลงไปคลุกกับน้ำซีอิ้วในกะทะนำครับ พอน้ำซีอิ้วเริ่มแห้งดี ก็ตักใส่จานได้เลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ทอดมันข้าวโพด

จู่ๆ เกิดอยากกินทอดมันข้าวโพดมา สูตรที่พระมารดาทอดให้กินนั้นแทบเรียกได้ว่าหมูล้วน กรอบนอกนุ่มใน ซึ่งหาได้ยากเวลาไปกินตามร้านนอกบ้าน ซึ่งพวกนั้นเหมือนแป้งทอดใส่ข้าวโพดมากกว่า

จู่ๆ พระมารดาก็โทรมาหาพอดี เลยสอบถามสูตรจนเป็นที่เข้าใจกันดี ก็ได้เวลาลงมือสนองความอยาก

ส่วนประกอบ
  1. เนื้อหมูบด 1 แพ็ก
  2. ข้าวโพด สูตรต้นตำรับใช้ข้าวโพดฝักมาฝานเอา อยู่เมืองนอกมันหายากใช้ข้าวโพดกระป๋อง Sweetcorn แทน อย่าลืมรินน้ำออกให้หมดด้วย เดี๋ยวทอดมันจะแฉะ
  3. แป้งอะไรก็ได้ เอามาทำให้เนื้อหมูเกาะติดกันเป็นก้อน
  4. พริกไทย เกลือ ซีอิ๊ว น้ำมันหอย กระเทียมสับละเอียด
แป้งได้รับบริจาคมา ส่วนข้าวโพดเป็นข้าวโพดกระป๋อง หาซื้อได้ตามซูเปอร์ทั่วไป

ขั้นแรกให้หมักหมูโดยใส่กระเทียมสับ เกลือ น้ำมัน พริกไทย ซีอิ๊ว น้ำมันหอย (ปริมาณก็มั่วๆ เอาเอง) คลุกๆ ให้เข้ากัน ทิ้งไว้สักพักพอเครื่องปรุงเริ่มเข้าเนื้อแล้ว ก็ใส่ข้าวโพดลงไปพอประมาณ อย่าใส่เยอะเกิน

จังหวะนี้เริ่มใส่แป้งทีละนิด คลุกให้เข้ากับเนื้อหมู จะใช้ช้อนหรือมือก็ได้ (จังหวะนี้ผมยังใช้ช้อนอยู่) ถ้าสูตรต้นตำหรับต้องตำใส่ครก เผอิญว่าไม่มีก็ดัดแปลงเป็นคลุกในทัพเปอร์แวร์แทน ใส่แป้งทีละนิดจนหมูเริ่มจับตัวกันเป็นก้อน ก็ได้เวลาปั้น

เกิดมาชาตินี้ไม่เคยปั้นทอดมันมาก่อน ก็มั่วๆ เอา รู้แต่ว่าไอ้หนูซูชิใช้สามนิ้วปั้นข้าวปั้น แต่ทอดมันต้องใช้ทั้งมือ ก็เอาให้ได้เป็นก้อนพอประมาณ ไม่ต้องสวยมาก เพราะตอนทอดข้าวโพดมันจะหลุดออกมาอยู่ดี

ตั้งกระทะไฟแรง max แล้วเอาทอดมันลง ระวังน้ำมันดีดใส่ด้วยเพราะในข้าวโพดกระป๋องมีน้ำอยู่เยอะ ทอดนานแค่ไหนก็แล้วแต่ชอบ โดยส่วนตัวชอบกินแบบเกรียมๆ คือทอดจนเป็นสีน้ำตาลแล้วเอาขึ้นมาพักไว้บนกระดาษ
เวอร์ชันเพอร์เฟคต์ต้องกินกับน้ำพริกตาแดง เผอิญว่าไม่มีเลยแก้ขัดโดยใช้น้ำปลา+พริกป่นแทน กินกับข้าวสวยอย่างเดียวก็พอเพียง

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เห็ดชิเมจิผัดกุ้ง

วันนี้เจ็บคอเล็กน้อย แถมฝนตกอีกเลยอดหนีเที่ยว อยู่บ้านทำข้าวต้มทาน


ซื้อเห็ดชิเมจิมาเมื่อวันก่อน เห็นว่าหน้าตาน่ารักดี ดูจากโหงวเฮ้งแล้วคิดว่าน่าจะเข้ากันได้ดีกับน้องกุ้งขาว


เริ่มจากตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไป ให้มีไอน้ำมันออกมานิดๆ ก็ใส่กุ้งลงไป พอเริ่มเปลี่ยนสีก็ลงเห็ดชิเมจิ เทน้ำตามไปนิดหน่อย ตามด้วยซอสหอยนางรม ซีอิ้ว น้ำตาล คลุกอีกทีแล้วเอาน้ำแป้งใส่ไปนิดให้พอหนืด พอจะเอาขึ้นก็โรยพริกไทยป่น


กินข้าวต้มน่าจะมีของเค็มซักหน่อย เลยเอาปลาข้าวสารที่พกจากเมืองไทยมากินแกล้มอีกอย่าง เวลากินเลยต้องแช่น้ำข้าวต้มให้หายกรอบสักหน่อย เดี๋ยวจะบาดคอเอาได้ค่ะ